สมัชชาแห่งชาติเวียดนาม ลงมติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม ให้นายหวอ วัน เถือง วัย 52 ปี เป็นประธานาธิบดีเวียดนามคนใหม่ ด้วยคะแนนเสียง 98.38% หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ได้เสนอชื่อเขาให้ขึ้นดำรงตำแหน่งดังกล่าวเมื่อหนึ่งวันก่อนหน้า โดยนายเถืองถือเป็นผู้สมัครเพียงหนึ่งเดียวที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเวียดนามไปจนถึงปี 2569
การลงมติเลือกประธานาธิบดีเวียดนามคนใหม่ เกิดขึ้นท่ามกลางช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญในประเทศ ที่มีขึ้นหลังการลาออกอย่างกะทันหันของนายเหวียน ซวน ฟุก อดีตประธานาธิบดีเวียดนามในเดือนมกราคมปีนี้ โดยเขาถูกพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามตำหนิว่า ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ภายใต้การกำกับดูแลของตน กระทำการอันเป็นการละเมิดและกระทำผิด ภายใต้นโยบายการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างเข้มงวด
นายเถือง กล่าวถ้อยแถลงครั้งแรก ในฐานะประธานาธิบดีเวียดนามคนใหม่ต่อรัฐสภาว่า เขาจะดำเนินการอย่างแน่วแน่ในการต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชั่นและปรากฏการณ์เชิงลบ พร้อมกับประกาศว่า จะจงรักภักดีต่อปิตุภูมิ ประชาชน และรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง ทั้งยังมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากพรรค รัฐ และประชาชน
นายเถืองถือเป็นสมาชิกที่มีอายุน้อยที่สุดในโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของประเทศ แต่ถือเป็นผู้มีประสบการณ์คร่ำหวอดในพรรค โดยเริ่มต้นอาชีพทางการเมืองในองค์กรเยาวชนพรรคคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย
ทั้งนี้ เป็นที่รับรู้กันว่านายเถืองมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับนายเหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ซึ่งเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มและถือธงนำในการรณรงค์ต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชั่นของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามในปัจจุบัน ซึ่งนำไปสู่การจับกุมเจ้าหน้าที่หลายสิบคนในข้อหาที่เกี่ยวพันกับการรับสินบนจำนวนมาก ซึ่งพัวพันกับการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของเวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
พรรคคอมมิวนิสต์ยังคงเป็นองค์กรสูงสุดในการบริหารประเทศเวียดนาม โดยเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในพรรค ตามด้วยตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในตำแหน่งทางการเมืองสูงสุดในประเทศ แต่มีบทบาทสำคัญในเชิงพิธีการเป็นหลัก ตามด้วยตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ที่มา: เอเอฟพี/รอยเตอร์