มุมมองต่อทิศทางตลาดหุ้นจีน 2H2018
กองทุนฯ เชื่อว่าในครึ่งปีหลังตลาดหุ้นจีนน่าจะกลับมาดีขึ้นจากครี่งปีแรก เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นจีนมีความกังวลอยู่สามประการ คือ 1.ประเด็นการค้ากับสหรัฐฯ 2.ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และ 3.การตึงตัวในภาคสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม ทั้งสามประเด็นมีแนวโน้มคลี่คลายลง เนื่องจาก
1.โอกาสเกิดสงครามการค้าแบบเต็มรูปแบบมีจำกัด ดัชนีที่ลดลงเป็นเพียง Noise ระยะสั้น มาตรการกีดกีนการค้าของสหรัฐฯ ก็มุ่งเป้าเพื่อเพิ่มคะแนนเสียงของพรรครีพับริกันในการเลือกตั้งเดือน พ.ย. นี้ อีกทั้งเสียงต่อต้านภายในพรรครีพับลีกันเองก็น่าจะเพียงพอที่จะช่วยยับยั้งมาตรการที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ
2.เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงเป็นภาวะชั่วคราวที่เกิดขึ้นตามวัฏจักรของสินค้าคงคลัง (Inventory cycle) ท่ามกลางความต้องการอุปโภคบริโภคที่ยังเติบโต เชื่อว่าในที่สุดจะเห็นการลงทุนเพิ่มในสินค้าทุน (capex up-cycle) และเงินลงทุนในเครื่องจักร ภายหลังจากที่อุปทานสินค้าคงคลังในระบบเศรษฐกิจลดลงก่อนหน้า
3.ช่วงเวลาแห่งการลดภาระหนี้ในระบบ (De-leveraging) ในระยะแรกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เนื่องจากเริ่มเห็นพัฒนาการเชิงบวก เชื่อว่าทางการจีนจะใช้สองวิธีการ คือ “แปลงหนี้เป็นทุน” กับ “เพิ่มต้นทุนทางการเงินให้สูงขึ้น” เชื่อว่าเมื่อปฏิบัติควบคู่กันแล้วจะสามารถจำกัดการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาครัฐวิสาหกิจและธนาคารท้องถิ่นลงได้
ปัจจับบวก/ลบต่อตลาดหุ้นจีนในระยะถัดไป
(+) MSCI Emerging Market Index รวมหุ้นจีน A-Shares ที่จดทะเบียนในตลาด เซี่ยงไฮ้/เสิ่นเจิ้น จำนวน 231 บริษัทจดทะเบียนในระยะแรก สะท้อนสัดส่วนที่ประมาณ 0.3% ของมูลค่าตลาด (Free float market capitalization) โดยเริ่มตั้งแต่ 1 มิ.ย. 2018 เป็นต้นไป การเข้ามาของ MSCI จะช่วยหนุนให้ fund flow ไหลเข้าจีนอย่างต่อเนื่อง หุ้นส่วนใหญ่ที่ถูกรวมในระยะแรก อาทิ หุ้นกลุ่มธนาคาร (15%) สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (13.9%) อาหารและเครื่องดื่ม (10.6%) อสังหาริมทรัพย์ (6.0%) เภสัชกรรม (5.9%) อิเล็คทรอนิกส์ (5%) เป็นต้น
ในระยะสั้นถึงกลางการรวมหุ้น A-Shares เข้าใน MSCI จะเพิ่มราคาหุ้นและปริมาณการซื้อขายให้สูงขึ้น หากดูจากไต้หวันและเกาหลีใต้เป็นต้วอย่างจะพบว่าหลังจากร่วมคำนวณในดัชนี MSCI EM ตลาดหุ้นเคยเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ +77.5% ภายหลังเข้ารวมคำนวนในดัชนี อีกทั้งเป็นการเพิ่มสัดส่วนของนักลงทุนประเภทสถาบันให้กับตลาด
(+) สัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติในตลาด A-Shares ยังน้อยอยู่ (กราฟซ้ายมือ) โดยมีสัดส่วนเพียง 5.4% ของ Free float Market Cap (หรือ 2.1% ของ Full Market cap) และหากเปรียบเทียบกับสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นใกล้เคียง อาทิ ไต้หวัน (มีต่างชาติถือครองหุ้น 42%) ฮ่องกง (มีต่างชาติถือครองหุ้น 36%) ถือว่ายังหากไกลกันมาก การรวมหุ้นจีนเข้า MSCI จะพัดพากระแสเงินลงทุนต่างชาติเข้าตลาดจีน Mainland
นอกจากนี้ หุ้นจีนมีนักลงทุนรายย่อยซื้อขายต่อวันคิดเป็นสัดส่วนที่สูงประมาณ 80% (กราฟขวามือ) การเข้ามาของ flow ต่างชาติ จะช่วย “ปลดล็อค” มูลค่าของหุ้นจีน ซึ่งยังซื้อขายใน valuation ที่ต่ำ (MSCI CHINA A มี PE ปัจจุบัน 16.1x, ค่าเฉลี่ย 10 ปี 17.7x) แต่มีกำไรที่เติบโตสูง (ราว 17%)
(+/-) ความเสี่ยงในภาคสินเชื่อจีนไม่ได้สร้างปัญหาให้กับตลาดหุ้นจีน เนื่องจากหนี้จำนวมหาศาลนั้นเกิดขึ้นกับภาคธุรกิจที่แทบจะไม่ได้มีความได้เปรียบในการแข่งขันหรือจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจดีๆ ในระบบที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพในการทำกำไรและมีงบการเงินแข็งแกร่ง
Key questions and answers จากผู้จัดการกองทุน Allianz All China Fund ซึ่งที่ทำหน้าที่บริหารการลงทุนในต่างประเทศ (Outsource Fund Manager) ให้กับกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ)
1.สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน (Trade war) จะส่งผลกระทบอย่างไร
มองว่าส่งผลกระทบ Near term pain ในไตรมาสสอง และตลาดน่าจะฟื้นตัวราวปลาย พ.ค. ที่ผ่านมาถึงต้นไตรมาสสาม เพราะ
1.1) ตั้งแต่ต้นปี YTD หุ้นในพอร์ตลงทุน Contribute EPS Growth ได้ตามแผนราว +13%, ระดับ Valuation ที่ลดลงทำให้ราคาน่าสนใจ
1.2) เชื่อว่าไม่น่าจะมี Negative surprise หลัง Trade war ต่อจากนี้
1.3) หากสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้จีนเข้ามาเจรจาภายใน 30 วัน จีนจะใช้ช่องทางดังกล่าว พัฒนาการต่อจากนี้มองว่าเกิดกรณี “ประนีประนอม” และเมื่อจำแนกตาม Sector พบว่ามีทั้ง Winner และ Looser ดังนี้
- บริษัทในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ – ได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบที่เข้มขึ้น (Tighten regulation)
- บริษัทในกลุ่มสิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า – ไม่ได้รับผลกระทบ
- บริษัทในกลุ่มสินค้าเกษตร ได้ประโยชน์จากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ (พอร์ต B-CHINE-EQ มีลงทุนบริษัท YUAN LONGPING HIGH-TECH AG ผลิตข้าวพันธุ์ผสมโดยใช้เทคโนโลยี จนได้รับรางวัล “Father of Hybrid Rice”)
2.ตลาดเริ่มกังวลว่าการบริโภค (Consumption upgrade) จะชะลอตัวหลังสัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนจีน (Household debt) สูงขึ้นอย่างรวดเร็วสู่ระดับเกินกว่า 50% ในช่วงเวลาเพียงปีเดียว จะกระทบการลงทุนหรือไม่
แท้จริงแล้วการบริโภคสินค้าจะสูงขึ้นตามรายได้ที่สูงขึ้น (Income growth) ภาระหนี้ (Debt burden) ที่ยังไม่สูงเกินกว่า 70% ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่าย อีกทั้ง คนจีนมีอัตราการออม (Saving rate) สูงจึงไม่น่ากังวล
3.อัพเดทความเคลื่อนไหวของหุ้นสำคัญๆ ในพอร์ตกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) ณ 30 มี.ค. 2018
- Tencent Holdings LTD (หุ้นอันดับ 1 น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 5%) เป็นหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาด NASDAQ สหรัฐฯ มองว่าจะยังผันผวน เพราะ Valuation อยู่ระดับสูง: Fair Value จึงยังไม่ Overweight ตอนนี้
- Bank of Ningbo CO LTD (หุ้นอันดับ 4 น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 6%) เป็นหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดเซินเจิ้น A-Shares ที่ผ่านมามี EPS Growth 15-20% สูงกว่าหุ้นกลุ่ม Banking ที่ระดับ 5%
- China Merchants Bank (หุ้นอันดับ 5 น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 6%) เป็นหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง H-Shares มี 18FW PE ต่ำกว่า 20x และ PEG (PE to Growth) ต่ำกว่า 1x
- Angel Yeast CO LTD (หุ้นอันดับ 6 น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 3%) เป็นหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดเซินเจิ้น A-Shares มี EPS Growth +35% ในปีนี้มีโอกาสปรับเพิ่มราคาสินค้า (Product Price) ขึ้น 5%, ปีนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากยอดขายในรัสเซีย มีต้นทุนขายลดลงจากราคาวัตถุดิบลด มีการขยายธุรกิจไปยัง Non-Core Business เช่น Yeast Extract
กลยุทธ์พอร์ตลงทุนยังคงเน้นบริษัทในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก
- การบริโภคในประเทศจีน (Higher Purchasing power) – สัดส่วน Export to GDP ลดลงจาก 35% ในปี 2007 เหลือ 19% ในปี 2018 รายได้ต่อหัวของคนจีน เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 11,000 ดอลลาร์ (อาทิ Wuliangye Yibin ผลิตสุราขาวพรีเมียม)
- การใช้จ่ายด้านเฮลธ์แคร์ที่สูงขึ้น (อาทิ บริษัทที่ลงทุน Jiangsu Hengrui Medicine, Aier Eye Hospital Group)
- นวัตกรรม เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า (อาทิ บริษัทที่ลงทุน Midea Group ซึ่งใช้หุ่นยนต์ AI ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า บริษัท Han’s Laser Technology ทำธุรกิจเลเซอร์ตัดโลหะโดยใช้เลเซอร์)
ที่มา: Allianz Global Investor ณ วันที่ 30 เม.ย. 2018
พอร์ตกองทุน B-CHINE-EQ ณ 30 เม.ย. 2018 มี Exposure หุ้นจีน 52 บริษัท โดยมี Top Holdings ดังนี้