นายกฯ เวียดนามตั้งเป้า GDP ปี 2025 โต 6.5-7% สูงกว่าคาดการณ์ของ IMF

นายกฯ เวียดนามตั้งเป้า GDP ปี 2025 โต 6.5-7% สูงกว่าคาดการณ์ของ IMF

นายกฯ เวียดนามตั้งเป้า GDP ปี 2025 โต 6.5% ถึง 7% สูงกว่าคาดการณ์ของ IMF ที่คาดว่าจะโต 6.1% และตั้งเป้า GDP เฉลี่ยต่อหัวประชากร (GDP per Capita) เพิ่มเป็น 4,900 ดอลลาร์ (ราว 162,000 บาท)

วันที่ 21 ตุลาคม 2024 บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า จากประกาศบนเว็บไซต์ของรัฐบาล ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ (Pham Minh Chinh) นายกรัฐมนตรีเวียดนาม คาดว่า เศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตอยู่ที่ 6.5-7% และรัฐบาลตั้งเป้าผลักดันอัตราการเติบโตให้ขยายเพิ่มขึ้นเป็น 7-7.5% ซึ่งเป็นการกล่าวถึงเป้าหมายเศรษฐกิจล่วงหน้า ก่อนที่จะระบุต่อสภาเพื่อปรึกษาสภาพเศรษฐกิจของประเทศในเช้าวันที่ 21 ตุลาคมนี้

ตามแถลงการณ์บนหน้าเว็บไซต์ ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ มองการเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2024 ว่าจะแตะระดับ 7% และรัฐบาลตั้งเป้ากรอบอัตราเงินเฟ้อปี 2028 ไว้ที่ 4.5% โดยเฉลี่ย

เศรษฐกิจเวียดนามซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก มีอัตราการขยายตัวในไตรมาส 3 ถึง 7.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหุ้น (YOY) รัฐบาลเวียดนามพยายามรักษาสมดุลระหว่างการยับยั้งเงินเฟ้อและกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งยังต้องฟื้นฟูประเทศจากความเสียหายที่เกิดจากพายุไต้ฝุ่นยางิ ซึ่งคร่าชีวิตพลเมืองเวียดนามมากกว่า 200 ราย สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่าราว 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1 แสนล้านบาท)

ทั้งนี้ เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2025 ของรัฐบาลเวียดนามดูสดใสกว่าคาดการณ์ของกองทุนสำรองระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดการณ์อัตราการเติบโตของเวียดนามไว้ที่ 6.1%

เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ด่าว มินห์ ตู๋ (Dao Minh Tu) รองผู้ว่าการธนาคารกลางเวียดนาม (State Bank of Vietnam) ส่งสัญญาณว่า ธนาคารกลางเตรียมผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจและเศรษฐกิจด้วยเงินทุนที่มากขึ้น หลังจากเศรษฐกิจเสียหายจากพายุไต้ฝุ่นยางิ

นอกจากนี้ นายกฯ ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ของเวียดนามยังกล่าวอีกด้วยว่า GDP ต่อหัว (GDP per Capita) ของประชากรเวียดนามในปี 2025 จะอยู่ที่ 4,900 ดอลลาร์ (ราว 162,000 บาท) จาก 4,346.8 ดอลลาร์ (ราว 144,000 บาท) ในปี 2023 และตั้งเป้าขยายขนาดของเศรษฐกิจจาก 433,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 14 ล้านล้านบาท) ในปี 2023 เป็น 780,000-800,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 25.8-26.5 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2030

ที่มา: บลูมเบิร์ก