นักวิเคราะห์มอง จีนอาจชะลอกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ หลังข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดส่งสัญญาณบวก

นักวิเคราะห์มอง จีนอาจชะลอกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ หลังข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดส่งสัญญาณบวก

นักวิเคราะห์มอง จีนอาจชะลอกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ หลังข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดส่งสัญญาณบวก ขณะภาพรวมยังไร้ทิศทาง

ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของจีนที่ออกมาดีเกินคาดในวันนี้ แม้จีนจะยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดและการจ้างงานที่อ่อนแออยู่ก็ตาม ส่งผลให้หลายฝ่ายอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่เพื่อรับมือกับภาษีสหรัฐฯ จะยังมีอยู่หรือไม่? และจะออกมาเมื่อใด?

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เผยว่า กิจกรรมภาคการผลิตและบริการเดือนมิ.ย. ออกมาดีสุดในไตรมาส 2 โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนมิ.ย. อยู่ที่ 49.7 แม้จะยังหดตัวเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน แต่ถือว่าดีขึ้นจากระดับ 49.5 ในเดือนพ.ค. ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการและการก่อสร้าง เพิ่มขึ้นไปแตะที่ 50.5 จากระดับ 50.3 ในเดือนพ.ค. โดยดัชนีทั้งสองส่วนออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้

แต่อีกด้านหนึ่ง การที่ข้อมูลเศรษฐกิจออกมาในทิศทางที่ผสมผสาน ยังส่งผลให้ตลาดตีความได้ไม่ชัดเจนว่า รัฐบาลจีนจะออกมาตรการกระตุ้นหรือไม่ และจะออกมาในช่วงใด ขณะที่ เทรดเดอร์ลดความคาดหวังที่จีนจะผ่อนคลายนโยบายการเงินลง ซึ่งสะท้อนผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตลาดบอนด์ โดยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ลดลง 0.6% มากที่สุดในรอบหนึ่งเดือน

นักวิเคราะห์จาก Societe Generale SA ระบุว่า “ถ้ามองในภาพรวม ดัชนี PMI ที่ออกมาดีกว่าคาด สะท้อนว่า โมเมนตัมของเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับที่เหมาะสมในไตรมาสสอง แต่ดัชนีการจ้างงานที่อ่อนแอทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า การฟื้นตัวในภาคการบริโภคจะยั่งยืนหรือไม่ หากรัฐบาลไม่มีมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมในปีนี้”

ขณะเดียวกัน การสงบศึกชั่วคราวระหว่งสหรัฐฯ และจีนนั้นยังทำให้การค้ากลับมารีบาวน์ ส่งผลให้คำสั่งซื้อใหม่ในภาคโรงงาน ภาคก่อสร้าง และภาคบริการกลับมาดีขึ้น ซึ่งตัวเลข PMI ล่าสุดยังสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมในช่วงที่ผ่านมาหนึ่งเดือนเต็ม หลังจีน-สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลง 90 วัน เพื่อระงับข้อพิพาททางการค้า

ขณะที่ ราคาขายยังคงลดลง แม้จะลดลงในกรอบแคบทุกภาคส่วน ยิ่งไปกว่านั้น การจ้างงานในภาคการผลิตก็อ่อนแอลง บ่งชี้ถึงอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ และความผันผวนที่ยังคงแฝงอยู่ในตลาดแรงงาน

ด้านนักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก ระบุว่า “การหดตัวที่ยังเพิ่มขึ้นในฝั่งการจ้างงานและความเชื่อมั่นที่อ่อนแอสุดนับตั้งแต่จีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่เมื่อเดือนก.ย. ปีที่แล้ว ตอกย้ำถึงการขาดความเชื่อมั่นในระยะใกล้ ซึ่งอาจจะมาจากข้อตกลงสงบศึกการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่จะสิ้นสุดลงกลางเดือนส.ค. แม้รัฐบาลจะยังคงสนับสนุนเศรษฐกิจ เห็นได้จากภาคก่อสร้างที่เร่งตัวขึ้น แต่ก็อาจชะลอมาตรการกระตุ้นชุดใหม่ออกไปก่อน จนกว่าจะถึงช่วงครึ่งหลังของไตรมาส 3”

ในหมู่นักวิเคราะห์เองก็ยังถกเถียงกันว่า รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นชุดใหม่หรือไม่ หลังธนาคารกลางจีน (PBOC) ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไปในทิศทางบวกหลังการประชุมนโยบายการเงินรอบล่าสุด ขณะที่บางส่วนมองว่า ความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องออกนโยบายกระตุ้นในระยะสั้นนั้นลดลงแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจจีนในไตรมาสสอง มีแนวโน้มขยายตามเป้าหมายที่ 5%

อย่างไรก็ดี แม้ตัวชี้วัดการจ้างงานจะแย่ลงในเดือนนี้ หลังจากเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือนพ.ค. ก็ตาม แต่ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่กลับขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือน ขณะที่ผลสำรวจ 21 อุตสาหกรรม พบว่ากว่าครึ่งหนึ่งมีการขยายตัว นั่นอาจตีความได้ว่า เศรษฐกิจจีนยังคงทรงตัวได้ดีตลอดช่วงสามเดือนที่ผ่านมา แม้จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าที่คาดเดาไม่ได้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ขณะที่ ภาคการส่งออกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากลูกค้าในต่างประเทศเร่งสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า ขณะที่โครงการอุดหนุนสินค้าอุปโภคบริโภคของรัฐบาลผลักดันให้ยอดค้าปลีกเติบโตเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2023 นอกจากนี้ การออกพันธบัตรของรัฐบาลจีนในช่วงต้นปีนี้ยังช่วยหนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและภาคการก่อสร้างขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม ภาวะเงินฝืดที่จีนยังคงเผชิญอยู่และอุปสงค์ที่อ่อนแอในฝั่งผู้บริโภค ยังเป็นปัจจัยที่บดบังการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงสงครามการค้ามาโดยตลอด ขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่มีเสถียรภาพ ยังส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งและความเชื่อมั่นของภาคครัวเรือน

แนวโน้มเศรษฐกิจที่สวนทางกันเหล่านี้ จะเป็นตัวแปรที่ทำให้การกำหนดนโยบายในช่วงเดือนข้างหน้าซับซ้อนยิ่งขึ้น

ที่มา Bloomberg, สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย