จับตาประชุม BOJ คาดตรึงดอกเบี้ยต่อ-จ่อเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อ จับสัญญาณขึ้นดบ.รอบหน้าหลังเคาะภาษีทรัมป์
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คาดว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิม และจะปรับเพิ่มแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ ในการประชุมนโยบายการเงินวันพฤหัสบดีนี้ (31 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาเพื่อหาสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ หลังญี่ปุ่นบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งช่วยบรรเทาความไม่แน่นอนลงได้บ้าง
นักเศรษฐศาสตร์ 56 ราย คาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของ BOJ จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิมที่ 0.5% และคาดว่า จะมีการปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อสำหรับปีงบประมาณนี้ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจรายไตรมาส
ประเด็นหลักที่หลาบยฝ่ายจับตาในการประชุมครั้งนี้ คือความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ โดยปัจจุบันนักลงทุนในตลาดมองว่ามีโอกาสประมาณ 75% ที่จะมีการปรับขึ้นภายในสิ้นปี โดยเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น มองเห็นความเป็นไปได้ที่จะพิจารณาการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ ช่วยลดความไม่แน่นอนที่สำคัญลงได้
เนื่องจากธนาคารกลางญี่ปุ่น ยังคงต้องพิจารณาผลกระทบที่แท้จริงของภาษีนำเข้า ทำให้นายชินอิจิ อุชิดะ รองผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบายคนสำคัญของธนาคารกลางญี่ปุ่น กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า แม้การบรรลุข้อตกลงครั้งนี้ จะเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญ แต่ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ในระดับสูง
สหรัฐฯ และญี่ปุ่นได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าเมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยกำหนดภาษีส่วนใหญ่ไว้ที่ 15% รวมไปถึงการลดภาษีรถยนต์จาก 25% ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กำหนดในเดือน เม.ย. ซึ่งช่วยบรรเทาความกังวลใจให้กับภาคส่วนหลักของเศรษฐกิจญี่ปุ่น โดยเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น ตั้งข้อสังเกตว่า ผลการเจรจาของญี่ปุ่นอยู่ในช่วงที่คาดการณ์ไว้ และอาจไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวมของธนาคารกลางมากนัก
ทั้งนี้ ในรายงานแนวโน้มเดือน เม.ย. ธนาคารกลางญี่ปุ่น คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงในช่วงสั้น ๆ เนื่องจากภาษี ก่อนที่จะฟื้นตัว ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ในกรอบเป้าหมายในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ระหว่างเดือน ต.ค. 2026 – มี.ค. 2028 โดยคาดการณ์ว่าคณะกรรมการ 9 ท่านของธนาคารกลางญี่ปุ่น จะปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยสำหรับปีงบประมาณนี้เป็น 2.5% จาก 2.2% และจะยังคงคาดการณ์สำหรับ 2 ปีถัดไปไม่เปลี่ยนแปลง
ที่มา Bloomberg, สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย