สหรัฐฯ และจีน กลับเข้าสู่บรรยากาศความตึงเครียดอีกครั้ง หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า ทั้ง 2 ประเทศ “อยู่ในสงครามการค้าแล้ว” พร้อมขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ในอัตราสูงถึง 100% หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้ก่อนเส้นตายเดือนพ.ย.นี้ ด้านรัฐมนตรีคลังกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ G7 เตรียมหารือแนวทางรับมือร่วมกัน เพื่อตอบโต้แผนของจีน ในการควบคุมการจัดหาวัตถุดิบแร่หายาก
คำกล่าวของประธานาธิบดี ทรัมป์ครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากกระทรวงการคลัง สหรัฐฯ ซึ่งนำโดยสก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) เปิดทางเป็นครั้งแรกว่า สหรัฐฯ อาจขยายระยะเวลาพักการจัดเก็บภาษีสินค้าจีน ออกไปเกินกว่า 3 เดือน หากจีนยกเลิกแผนคุมเข้มการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก โดยในตลอดปีนี้ สหรัฐฯ และจีน ต่างเห็นพ้องกันในข้อตกลง “สงบศึกชั่วคราว” เป็นรอบๆ ครั้งละ 90 วัน โดยรอบล่าสุดจะหมดอายุลงในวันที่ 10 พ.ย.นี้ ซึ่งหากไม่ขยายเวลาออกไป อัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนบางรายการอาจกลับขึ้นไปแตะระดับสูงสุดถึง 145% อีกครั้ง
ขณะที่ ประธานาธิบดี ทรัมป์ย้ำว่า “เรามีภาษี 100% อยู่แล้ว ถ้าไม่มีภาษี เราก็จะไม่มีอำนาจอะไรเลย” นับเป็นการสะท้อนท่าทีที่แข็งกร้าวของทำเนียบขาว ที่มองภาษีเป็นเครื่องมือหลักในการต่อรองกับจีน
ความขัดแย้งรอบใหม่ครั้งนี้ ปะทุขึ้น หลังสหรัฐฯ ประกาศขยายมาตรการจำกัดเทคโนโลยีและเตรียมเก็บค่าธรรมเนียมเรือสินค้าจีนที่เข้าเทียบท่าสหรัฐฯ ด้านทางการจีน ก็ตอบโต้ทันที ด้วยการประกาศร่างกฎใหม่ให้ต่างชาติต้องขออนุญาตจากรัฐบาลจีน ก่อนส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่หายากแม้เพียงเล็กน้อย
นอกจากนี้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังขู่ว่า จะเก็บ “ภาษีเพิ่มเติมอีก 100%” ภายในวันที่ 1 พ.ย. และอาจยกเลิกการประชุมกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง หากจีนยังเดินหน้ามาตรการดังกล่าว พร้อมทั้งเตือนว่า สหรัฐฯ อาจตัดขาดการค้าด้านน้ำมันพืชกับจีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ อย่างไรก็ดี เบสเซนต์ยืนยันว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงพร้อมเดินทางพบกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก (APEC) ที่เกาหลีใต้ปลายเดือนนี้ โดยเขาเองอาจเดินทางไปเอเชียล่วงหน้า เพื่อหารือกับรองนายกรัฐมนตรี เหอ ลี่เฟิง ของจีน
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ มองว่า การขู่ภาษีของประธานาธิบดี ทรัมป์ครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มแรงกดดันก่อนการพบปะผู้นำ 2 ประเทศ โดยขณะนี้ ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังจับตาท่าทีของทั้ง 2 ฝ่ายอย่างใกล้ชิด หลังสหรัฐฯ ส่งสัญญาณพร้อมใช้ “ภาษีเป็นอาวุธต่อรอง” อีกครั้ง ในศึกการค้าระหว่าง 2 ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก
ขณะเดียวกัน บรรดารัฐมนตรีคลังของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ G7 เตรียมหารือแนวทางรับมือร่วมกัน เพื่อตอบโต้แผนของจีน ในการควบคุมการจัดหาวัตถุดิบแร่หายาก ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีโลก โดยรัฐมนตรีคลังเยอรมนี เปิดเผยว่า ที่ประชุมรัฐมนตรีคลัง G7 จะหารือถึงแนวทางร่วมกัน เพื่อจัดการกับมาตรการของจีน โดยเน้นการใช้มาตรการเฉพาะเจาะจง พร้อมเตือนว่า ควรหลีกเลี่ยงการดำเนินการที่อาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกเอง
ขณะที่ สก็อตต์ เบสเซนต์ กล่าวว่า สหรัฐฯ และพันธมิตร “จะตอบสนองอย่างเป็นกลุ่ม” ต่อมาตรการดังกล่าวของจีน โดยจะหารือร่วมกับยุโรป ออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย และประเทศประชาธิปไตยในเอเชีย เพื่อประสานท่าทีในเวทีระหว่างประเทศ ด้านเจมีสัน เกรียร์ (Jamieson Greer) ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระบุว่า มาตรการของจีน “ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง” เพราะจะกระทบต่อการค้าสินค้ากลุ่มที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคจำนวนมาก ที่มีส่วนผสมของแร่หายากแม้เพียงเล็กน้อย
กฎใหม่ของจีนที่ประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อน กำหนดให้บริษัทต่างชาติจะต้องขออนุมัติจากรัฐบาลจีนก่อนส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่หายากที่มีต้นกำเนิดจากจีน ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้ ทั้ง 2 ฝ่ายเคยตกลงกันในช่วงสงบศึกภาษีว่า แร่และแร่ธาตุสำคัญควรถูกปล่อยให้หมุนเวียนในตลาดโลกโดยมีข้อจำกัดน้อยที่สุด
ทั้งนี้ กระแสความขัดแย้งครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และจีน สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดการเงินในช่วงหลายวันที่ผ่านมา โดยหุ้นสหรัฐฯ เพิ่งฟื้นตัวบางส่วนจากแรงเทขายเมื่อวันศุกร์ หลังทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีสินค้าจีนในอัตราสูงเพิ่มเติม เพื่อตอบโต้แผนจำกัดการส่งออกแร่หายากของจีน
ที่มา: Yahoo Finance, Blooomberg (1) และ (2), สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย