โดย พริ้มพัชร จิรบวรพงศา AFPTTM
ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน
BF Knowledge Center
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับตลาดการลงทุนในไทย โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นการลงทุนระยะยาว ด้วยการอนุมัติให้จัดตั้งกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF : Super Saving Fund) และกระตุ้นให้ตรงจุดอีกครั้งด้วยการอนุมัติให้จัดตั้งกองทุนรวมเพื่อการออมพิเศษ หรือเรียกกันว่า SSF Extra (SSFX) ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยเป็นวงเงินแยกต่างหาก 200,000 บาท ไม่ต้องนำไปรวมกับกองทุน SSF ปกติและกองทุน RMF ทั้งนี้ ต้องลงทุนในช่วงวันที่ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 2563
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคำถามจากผู้ลงทุนที่มีเงินลงทุนจำกัดว่า “ควรเลือกลงทุนอะไรดี? ระหว่างกองทุน SSF กองทุน SSFX และกองทุน RMF” ซึ่งคำตอบที่ดีที่สุดของคำถามนี้คือ นักลงทุนต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า เป้าหมายจากการลงทุนครั้งนี้ นอกเหนือจากการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีนั้นคืออะไร?
หากเป้าหมายคือการลงทุนระยะยาวเพื่อวัยเกษียณ ผู้ลงทุนควรเลือกลงทุนในกองทุน RMF โดยเลือกนโยบายลงทุนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และระยะเวลาในการลงทุน หรือกรณีที่ผู้ลงทุนอยู่ในช่วงวัยใกล้เกษียณแล้ว เช่น อายุ 50 ปี ก็อาจพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุน RMF เนื่องจากใช้ระยะเวลาลงทุนอีกเพียง 5 ปี ก็จะครบตามเงื่อนไขลงทุนคือ ครบ 5 ปีลงทุน และถือครองจนครบ 55 ปีบริบูรณ์ สามารถขายคืนได้ ทั้งจำนวนยกเว้นภาษี ไม่ต้องรอนานจนถึง 10 ปี
สำหรับ ผู้ลงทุนที่มีเป้าหมายระยะยาว ประมาณ 10 ปี เช่น ต้องการสะสมเงินไว้เพื่อสร้างธุรกิจของตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้า ก็อาจพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุน SSF หรือ SSFX ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขการถือครองหน่วยลงทุน 10 ปี โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกนโยบายลงทุนให้สอดคล้องกับความต้องการของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์การลงทุน ปันผล-ไม่ปันผล ทั้งนี้ หากต้องการลงทุนในหุ้นไทย ก็อาจพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุน SSFX ในช่วงที่กำหนด เพื่อใช้สิทธิวงเงินพิเศษ 200,000 บาท ทำให้เหลือวงเงินลงทุนแบบปกติเต็มๆ อีก 500,000 บาท (คำนวณจากสิทธิลงทุนสูงสุด)
ส่วนผู้ลงทุนที่มีเป้าหมายผสมผสาน คือ มีทั้งเป้าหมายระยะยาวเพื่อวัยเกษียณ และเป้าหมายระยะยาวเพื่อการออม ขอแนะนำให้จัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสมทั้ง 2 เป้าหมาย โดยหากเป็นมนุษย์เงินเดือนสามารถนำเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) มาร่วมคำนวณความพอเพียงของเงินเกษียณด้วย
ทั้งนี้ การจัดสรรเงินลงทุนที่เหมาะสมต้องไม่ลงทุนมากไปจนทำให้ติดขัดทางการเงิน หรือขาดสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน เนื่องจากเป็นการลงทุนต่อเนื่องในระยะยาวจึงต้องวางแผนให้ดี และในทางกลับกันก็ต้องไม่น้อยจนเกินไป จนทำให้ไม่บรรลุเป้าหมายทางการเงิน