ตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือนพฤษภาคมปรับตัวในทิศทางเชิงบวก หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทยอยดีขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับความพร้อมของอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีมากขึ้น ทำให้หลายประเทศสามารถทยอยกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง เพิ่มความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่รวดเร็วมากขึ้นในระยะข้างหน้า และตัวเลขบ่งชี้ถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศจีนนั้น มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีนที่กลับมาปะทุอีกครั้ง เช่น การที่สหรัฐฯโจมตีจีนเรื่อง การเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของไวรัส การผ่านกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ในฮ่องกงของจีน และการถอดบริษัทจดทะเบียนของจีนในตลาดหุ้นสหรัฐ แต่ตลาดก็ยังมองว่าสถานการณ์ดังกล่าว ยังไม่ลุกลามบานปลายจนไปกระทบกับข้อตกลงการค้าเฟส 1 ที่ได้ทำกันไว้ ทำให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมยังเป็นเชิงบวก
นอกจากนี้ ตลาดยังคงมีความหวังว่า การตอบสนองที่รวดเร็วเป็นประวัติการณ์ของธนาคารกลางต่างๆ และนโยบายการคลังขนาดใหญ่จากทางภาครัฐ จะทำให้เศรษฐกิจสามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ในเวลารวดเร็ว และไม่ได้สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจมากเกินไป
ด้านตลาดหุ้นไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.2% ในเดือนพฤษภาคม เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้ ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี ติดลบลดลงเหลือ -15% โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิที่ 3.16 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.7 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ ผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ประกาศออกมานั้น กำไรของตลาดฯลดลงประมาณ 60% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว โดยสาเหตุหลักมาจาก การขาดทุนสต็อกของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี กลุ่มโรงแรมและกลุ่มสื่อ-บันเทิง ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองเป็นกลุ่มแรกๆ เป็นต้น โดยตลาดคาดว่า ผลประกอบการโดยรวมจะต่ำสุดในไตรมาสสอง และมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง
หลังจากเดือนมิถุนายน กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆมีแนวโน้มถูกคลาย Lockdown จนเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ทั้งนี้ ประชาชนจะยังคงต้องมี การเว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งกิจการต่างๆจะยังไม่สามารถให้บริการได้อย่างเต็มที่ ทำให้แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นเป็นลำดับ โดยคาดว่า ตลาดหุ้นในช่วงต่อจากนี้ การลงทุนจะมีความ Selective มากขึ้น เนื่องจาก ตลาดได้ขึ้นมารองรับการฟื้นตัวไปบ้างแล้ว ทำให้ระดับ Valuation โดยรวมค่อนข้างตึงตัวบ้างในบางกลุ่มธุรกิจ
กลยุทธ์การลงทุน จึงเน้นเลือกลงทุนหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทางการเงินและมีความสามารถในการแข่งขัน มีกลยุทธ์ในการปรับตัวที่ดี รวมทั้งให้น้ำหนักมากขึ้นกับกลุ่มธุรกิจที่สามารถกลับมาดำเนินการได้ใกล้เคียงภาวะปกติในเวลาไม่นาน
Fund Comment Stocks
Fund Comment พฤษภาคม 2563 : ภาพรวมตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือนพฤษภาคมปรับตัวในทิศทางเชิงบวก หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทยอยดีขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับความพร้อมของอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีมากขึ้น ทำให้หลายประเทศสามารถทยอยกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง เพิ่มความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่รวดเร็วมากขึ้นในระยะข้างหน้า และตัวเลขบ่งชี้ถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศจีนนั้น มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีนที่กลับมาปะทุอีกครั้ง เช่น การที่สหรัฐฯโจมตีจีนเรื่อง การเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของไวรัส การผ่านกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ในฮ่องกงของจีน และการถอดบริษัทจดทะเบียนของจีนในตลาดหุ้นสหรัฐ แต่ตลาดก็ยังมองว่าสถานการณ์ดังกล่าว ยังไม่ลุกลามบานปลายจนไปกระทบกับข้อตกลงการค้าเฟส 1 ที่ได้ทำกันไว้ ทำให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมยังเป็นเชิงบวก
นอกจากนี้ ตลาดยังคงมีความหวังว่า การตอบสนองที่รวดเร็วเป็นประวัติการณ์ของธนาคารกลางต่างๆ และนโยบายการคลังขนาดใหญ่จากทางภาครัฐ จะทำให้เศรษฐกิจสามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ในเวลารวดเร็ว และไม่ได้สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจมากเกินไป
ด้านตลาดหุ้นไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.2% ในเดือนพฤษภาคม เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้ ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี ติดลบลดลงเหลือ -15% โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิที่ 3.16 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.7 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ ผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ประกาศออกมานั้น กำไรของตลาดฯลดลงประมาณ 60% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว โดยสาเหตุหลักมาจาก การขาดทุนสต็อกของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี กลุ่มโรงแรมและกลุ่มสื่อ-บันเทิง ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองเป็นกลุ่มแรกๆ เป็นต้น โดยตลาดคาดว่า ผลประกอบการโดยรวมจะต่ำสุดในไตรมาสสอง และมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง
หลังจากเดือนมิถุนายน กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆมีแนวโน้มถูกคลาย Lockdown จนเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ทั้งนี้ ประชาชนจะยังคงต้องมี การเว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งกิจการต่างๆจะยังไม่สามารถให้บริการได้อย่างเต็มที่ ทำให้แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นเป็นลำดับ โดยคาดว่า ตลาดหุ้นในช่วงต่อจากนี้ การลงทุนจะมีความ Selective มากขึ้น เนื่องจาก ตลาดได้ขึ้นมารองรับการฟื้นตัวไปบ้างแล้ว ทำให้ระดับ Valuation โดยรวมค่อนข้างตึงตัวบ้างในบางกลุ่มธุรกิจ
กลยุทธ์การลงทุน จึงเน้นเลือกลงทุนหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทางการเงินและมีความสามารถในการแข่งขัน มีกลยุทธ์ในการปรับตัวที่ดี รวมทั้งให้น้ำหนักมากขึ้นกับกลุ่มธุรกิจที่สามารถกลับมาดำเนินการได้ใกล้เคียงภาวะปกติในเวลาไม่นาน