กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ของกองทุนบัวหลวง

กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ของกองทุนบัวหลวง

  • กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว (B-LTF)
  • กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว 75/25 (BLTF75)
  • กองทุนเปิดบัวหลวงปัจจัย 4 หุ้นระยะยาวปันผล (BBASICDLTF)
  • กองทุนเปิดบัวหลวงทศพลหุ้นระยะยาว (B-TOPTENLTF)

“การลงทุนใน LTF ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ผู้ลงทุนไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้”

BBLAM’s 2020 INVESTMENT THEMES

“เครือข่ายครอบคลุมสร้างความแข็งแกร่ง บรรษัทแข็งแรงสร้างความยั่งยืน”

  • ปัจจัยภายในประเทศ 
    • การฟื้นตัวของแต่ละกลุ่มธุรกิจยังมีความไม่แน่นอน ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจยังคงถูกกดดันจากโควิด-19
    • กลยุทธ์การลงทุน คือ ให้ความสำคัญกับธุรกิจที่เห็นสัญญาณของรายได้กลับมาในเวลาเร็วกว่าที่คาดการณ์
  • ปัจจัยภายนอกประเทศ  
    • ความเสี่ยงในการเกิดการแพร่ระบาดระลอกสอง 
    • การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจเพิ่มความเข้มข้นในการหาเสียง ด้วยการยกประเด็นสงครามการค้าขึ้นมาอีกครั้ง 

  • ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมี.ค. หนุนโดย 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง และปัจจัยจากอิทธิพลของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและการอัดฉีดสภาพคล่องขนาดใหญ่ที่รวดเร็วจากธนาคารกลางทั่วโลก โดยตลาดได้ตอบรับปัจจัยบวกไปล่วงหน้าจนทำให้ซื้อขายที่ระดับ P/E 21 เท่า ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในหลายตลาดหลักๆ รวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย ทำให้ในเดือน มิ.ย. ตลาดปิดที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการลงทุนยังคงเป็นมุมมองเชิงบวก
  • ในด้านเศรษฐกิจ IMF ได้มีการประมาณการเศรษฐกิจโลก ในปีนี้ว่าจะหดตัว -4.9% และกลับมาขยายตัวในปีหน้าที่ 5.4% ถึงซึ่งเป็นการปรับประมาณการลงจากการประเมินครั้งก่อนหน้าเล็กน้อย โดยยังคงเป็นภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในลักษณะ V-Shaped ทั้งนี้ IMF ระบุว่า มาตรการทางด้านการเงินและการคลัง โดยเฉพาะการจ้างงานและการเสริมสภาพคล่องธุรกิจ เป็นสิ่งที่ช่วยเศรษฐกิจไม่หดตัวไปรุนแรงกว่านี้ ทำให้นักลงทุนสามารถมองข้ามตัวเลขเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่เป็นตัวชี้วัดย้อนหลังไปได้
  • สำหรับนโยบายการเงิน Fed ได้เข้ามาซื้อตราสารหนี้เพิ่มขึ้น จนทำให้งบดุลขยายตัวจาก 4.5 เป็น 7.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา กอปรกับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ โดยที่ Dot Plot ชี้ว่า อัตราดอกเบี้ยจะยังคงระดับต่ำเช่นนี้ไว้อย่างน้อยจนถึงปีค.ศ. 2022 ทำให้ตลาดการเงินมีเสถียรภาพดีขึ้น ทั้งในตลาดทุน พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้เอกชน และสภาพคล่องของภาคธุรกิจ โดยภาพรวมแล้ว แม้ว่าการถดถอยของเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้จะลึกกว่าในปีค.ศ. 2008 แต่ก็กินระยะเวลาสั้นกว่า
  • ด้านตลาดหุ้นไทย ปรับตัวในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยการควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศไทยนั้น สามารถทำได้ดีมากจนสามารถผ่อนคลายการล็อกดาวน์ ได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่มากดดันจากการเกิดการระบาดระลองสองในบางประเทศ ซึ่งจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอาจช้ากว่าที่คาด และจะส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยล่าช้าไปด้วย ในเดือน มิ.ย. นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ ที่ 2.3 หมื่นลบ. ลดลงจากเดือนก่อนหน้า ที่ 3.2 หมื่นลบ. โดยลดการถือครองในกลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มหลัก หลังจากได้รับปัจจัยกดดันจากประมาณการ GDP ของธปท.ที่ปรับลงเป็น -8.1% รวมถึงให้ธนาคารพาณิชย์งดการจ่ายเงินปันผล และซื้อหุ้นคืน

มุมมองตลาดหุ้นไทย

แนวโน้มการลงทุนในช่วงต่อจากนี้ อยู่ที่การฟื้นตัวทางปัจจัยพื้นฐานว่าจะฟื้นขึ้นเร็วมากน้อยกว่าที่ตลาดคาดหวังไว้อย่างไร ความเสี่ยงในการเกิดการแพร่ระบาดระลอกสอง รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือน พ.ย. ซึ่ง Donald Trump อาจเพิ่มความเข้มข้นในหาเสียง ด้วยการยกประเด็นสงครามการค้าขึ้นมาอีกครั้งได้ หรือถ้ามีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง อาจจะทำให้มีการเปลี่ยนนโยบายของสหรัฐฯ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกที่สนับสนุนคือสภาพคล่องในตลาดการเงิน กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้จึงมีความ Selective เนื่องตลาดถูกซื้อขายด้วยความคาดหวังไปล่วงหน้า ขณะที่การฟื้นตัวของแต่ละธุรกิจยังมีความไม่แน่นอน จึงควรเน้นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และให้ความสำคัญกับธุรกิจที่เห็นสัญญาณของรายได้กลับมาในเวลาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

ปัจจัยทั้งบวก/ลบต่อกองทุน

(+)  อัตราดอกเบี้ยไทยที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดย Policy rate ลงมาเหลือเพียง 0.50% ประกอบกับนักลงทุนบางกลุ่มที่กังวลกับการลงทุนในตราสารหนี้ โดยเฉพาะกลุ่ม High Yield Bond จึงหันมาซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี มีปันผลมากขึ้น

(+)  สถานการณ์ผู้ติดเชื้อ โควิด-19 ในไทยยังคงดีขึ้นเรื่อยๆ โดยปลอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศติดต่อกันมาแล้ว 46 วัน ประกอบกับการผ่อนคลายล็อกดาวน์เปิดให้ภาคธุรกิจกลับมาผลิตและบริการมากขึ้น

(+/-)  การทดลองวัคซีนต้านโควิด-19 เริ่มเห็นความคืบหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ

(+/-) สภาพคล่องทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูงจากการอัดฉีดเม็ดเงินของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไปอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ปัจจัยภายนอก

  • ความกังวลการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รอบสองในหลายประเทศที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในสหรัฐที่ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงถึง 6.1 หมื่นราย/วัน ซึ่งอาจส่งผลให้บางรัฐของสหรัฐต้องประกาศล็อกดาวน์รอบใหม่และจะกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
  • การชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก
  • สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

ปัจจัยภายใน 

  • ผลกระทบ โควิด-19 ส่งผลกระทบทั่วโลกผ่านไปถึงภาคเศรษฐกิจต่างๆ อย่างชัดเจน กดดันเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของไทยรอบด้าน ทั้งการค้าระหว่างประเทศ การนำเข้า และการบริโภคในประเทศที่ลดลง เหลือแรงขับเคลื่อนเพียงการใช้การใช้จ่ายภาครัฐที่ยังมีอยู่
  • กำไรบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2 ปี 2563 น่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ- การปรับลดประมาณการกำไรปี 2563 ของกลุ่มนักวิเคาระห์
  • การส่งออกไทยหดตัวสูง กดดันตัวเลขทางเศรษฐกิจ
  • ความกังวล โควิด-19 ระบาดรอบสองในไทย
  • เงินลงทุนจากต่างชาติ (Fund Flow) ยังมีสัญญาณไหลออกต่อเนื่อง (ภายในปี  ตปท.ขายออกสุทธิ 2.17 แสนล้านบาท) เหตุเพราะหุ้นไทยค่อนข้างแพง เทรดกัน P/E ที่ 21.14 เท่า (ณ วันที่ 9/7/2563) ซึ่งสูงสุดในภูมิภาค ประกอบกับอัตราการเติบโตของกำไรที่น้อยสุดในภูมิภาคเช่นกัน

กลยุทธ์การลงทุนของกองทุน :

  • กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว (B-LTF)

“การลงทุนใน LTF ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ผู้ลงทุนไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้”

ตั้งแต่ต้นปี 2563 (ม.ค.-มิ.ย.) กองทุนให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (SET TRI) โดยผลตอบแทนของกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว อยู่ที่ -12.01% ในขณะที่เกณฑ์มาตรฐาน (SET TRI) อยู่ที่ -13.17% และหากอ้างอิงสัดส่วนลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกพบว่า

*ผลตอบแทนดังกล่าวเป็นผลตอบแทนของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ ไม่ใช่ผลตอบแทนของกองทุนแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มความระมัดระวังในการประเมินโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนมากเป็นพิเศษ ในช่วงผันผวนระยะสั้น และยังคงกลยุทธ์ในการเลือกลงทุนหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มของกิจการที่ดี มีระดับราคาเหมาะสม โดยผ่านการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียน ทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณรวมถึงการติดตามการดำเนินงานของบริษัทนั้นๆอย่างสม่ำเสมอ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม วัสดุก่อสร้าง การแพทย์ ขณะที่ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม พลังงานและสาธารณูปโภค พาณิชย์ ขนส่งและโลจิสติกส์ เป็นต้น

  • กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว 75/25 (BLTF75)

“การลงทุนใน LTF ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ผู้ลงทุนไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้”

ตั้งแต่ต้นปี 2563 (ม.ค.-มิ.ย.) กองทุนให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (SET TRI)  โดยผลตอบแทนของกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว 75/25 อยู่ที่ -9.99% ในขณะที่เกณฑ์มาตรฐาน (SET TRI) อยู่ที่ -13.17% และหากอ้างอิงสัดส่วนลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกพบว่า

*ผลตอบแทนดังกล่าวเป็นผลตอบแทนของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ ไม่ใช่ผลตอบแทนของกองทุนแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มความระมัดระวังในการประเมินโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนมากเป็นพิเศษ ในช่วงผันผวนระยะสั้น และยังคงกลยุทธ์ในการเลือกลงทุนหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มของกิจการที่ดี มีระดับราคาเหมาะสม โดยผ่านการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียน ทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณรวมถึงการติดตามการดำเนินงานของบริษัทนั้นๆอย่างสม่ำเสมอ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม วัสดุก่อสร้าง การแพทย์ ขณะที่ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม พลังงานและสาธารณูปโภค พาณิชย์ ขนส่งและโลจิสติกส์ เป็นต้น

  • กองทุนเปิดบัวหลวงปัจจัย 4 หุ้นระยะยาวปันผล (BBASICDLTF)

“การลงทุนใน LTF ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ผู้ลงทุนไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้”    

ตั้งแต่ต้นปี 2563 (ม.ค.-มิ.ย.) กองทุนให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (SET TRI)  โดยผลตอบแทนของกองทุนบัวหลวงปัจจัย 4 หุ้นระยะยาวปันผล อยู่ที่ -6.70% ในขณะที่เกณฑ์มาตรฐาน (80% ของ SET TRI และ 20% ของ MSCI World Net Total Return Index) อยู่ที่ -10.62% และหากอ้างอิงสัดส่วนลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกพบว่า

*ผลตอบแทนดังกล่าวเป็นผลตอบแทนของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ ไม่ใช่ผลตอบแทนของกองทุนแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มความระมัดระวังในการประเมินโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนมากเป็นพิเศษ ในช่วงผันผวนระยะสั้น และยังคงกลยุทธ์ในการเลือกลงทุนหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มของกิจการที่ดี มีระดับราคาเหมาะสม โดยผ่านการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียน ทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณรวมถึงการติดตามการดำเนินงานของบริษัทนั้นๆอย่างสม่ำเสมอ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พาณิชย์ขณะที่ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม อาหารและเครื่องดื่ม วัสดุก่อสร้าง การแพทย์ เป็นต้น

  • กองทุนเปิดบัวหลวงทศพลหุ้นระยะยาว (B-TOPTENLTF)

“การลงทุนใน LTF ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ผู้ลงทุนไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้”

ตั้งแต่ต้นปี 2563 (ม.ค.-มิ.ย.) กองทุนให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (SET TRI)  โดยกองทุนเปิดบัวหลวงทศพลหุ้นระยะยาว อยู่ที่ -12.71% และเกณฑ์มาตรฐาน (SET TRI) อยู่ที่ -13.17% และหากอ้างอิงสัดส่วนลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก พบว่า

*ผลตอบแทนดังกล่าวเป็นผลตอบแทนของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ ไม่ใช่ผลตอบแทนของกองทุนแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มความระมัดระวังในการประเมินโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนมากเป็นพิเศษ ในช่วงผันผวนระยะสั้น และยังคงกลยุทธ์ในการเลือกลงทุนหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มของกิจการที่ดี มีระดับราคาเหมาะสม โดยผ่านการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียน ทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณรวมถึงการติดตามการดำเนินงานของบริษัทนั้นๆอย่างสม่ำเสมอ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม วัสดุก่อสร้าง พลังงานและสาธารณูปโภค ขณะที่ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม พาณิชย์ ขนส่งและโลจิสติกส์ การแพทย์ เป็นต้น

ทั้งนี้ การเพิ่มหรือลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมหรือรายบริษัท จะขึ้นอยู่กับกรอบนโยบายการลงทุนของกองทุนนั้นๆด้วย

ผลการดำเนินงานและความผันผวนของผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2563