โดย…เสกสรร โตวิวัฒน์ CFP®
ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน
BF Knowledge Center
ถ้าเราพูดถึงเศรษฐกิจจีน เราก็จะมองภาพการลงทุน การอุปโภค บริโภคในประเทศจีนเป็นหลัก โดยเศรษฐกิจจีนมีข้อดี มีกลไกสำคัญคือ จีนมีประชากรจำนวนมาก พื้นที่ขนาดใหญ่ ขนาดเศรษฐกิจและธุรกิจก็ใหญ่เช่นกัน แม้แต่ในเรื่องการลงทุนเองตลาดหุ้นจีนทั้งเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น ก็มีมูลค่าตลาดสูงมาก
หลังจากที่โควิด-19 ในจีนเริ่มคลี่คลายเป็นพื้นที่แรกๆ ขณะที่การควบคุมการระบาดในระลองที่ 2 ก็ดำเนินการได้รวดเร็วต่างจากหลายๆ ประเทศ ที่ระลอกที่ 2 มีการแพร่ระบาดของเชื้อที่รุนแรงและการแพร่เชื้อเร็วกว่าเดิม
เมื่อจีนควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ จึงค่อยๆ กลับมา ขณะที่ภาครัฐของจีนก็มีการกระตุ้น มีนโยบายผ่อนคลายต่างๆ ออกมา เช่น มาตรการสินเชื่อ เพื่อให้การอุปโภค บริโภคของประชากร และการดำเนินธุรกิจกลับมาได้ ซึ่งเมื่อหลายบริษัททำธุรกิจได้ กลับมาใกล้เคียงกับระดับเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็มีการจ้างงาน เป็นลูกโซ่ต่อไปที่ทำให้เศรษฐกิจจีนกลับมาเติบโตเป็นบวกได้
เราจะพบว่า จากการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา จีนมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) กลับมาเป็นบวกได้ 3.2% แล้ว ในขณะที่ประเทศอื่นๆ จีดีพียังติดลบอยู่
เมื่อไปพิจารณาประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งไม่ใช่เพียงเรื่องการค้าแต่ลุกลามไปยังเรื่องเทคโนโลยีด้วยนั้น ก็ต้องบอกว่า เป็นเรื่องของการชิงความเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยการนำประเด็นต่างๆ มาเป็นเงื่อนไขในการโจมตีกัน ซึ่งเมื่อมองในเชิงการลงทุนแล้ว สงครามการค้าย่อมกระทบต่อตลาดทุนจีน เพราะมีหุ้นของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ที่ทำธุรกิจทั้งในสหรัฐฯ และในจีน รวมทั้งทำธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาทางยุโรป อเมริกา และกลุ่มประเทศอื่นๆ มีปัญหาเศรษฐกิจ การนำเข้าสินค้าก็น้อยลงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นจำนวนประชากรของจีน การอุปโภคบริโภคในประเทศจีนเองจึงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจจีนเดินไปได้อยู่ เพราะลำพังประชากรจีนมากว่า 1,400 ล้านคน แค่บริโภคในประเทศก็เป็นเครื่องจักรสำคัญที่ผลักดันให้จีดีพียังเติบโตต่อได้ ในขณะที่หลายประเทศที่เผชิญปัญหาโควิด-19 อยู่นั้น การอุปโภคบริโภคหายไปเลย เหลือกลไกสำคัญคือภาครัฐในการจับจ่ายใช้สอย ออกมาตรการต่างๆ กระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรักษาระดับจีดีพีของประเทศ แต่จีนเองกลับให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้น้อยลง แล้วหันไปให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนในการทำธุรกิจ มากกว่ามามองค่าตัวเลขทางเทคนิค
นอกจากนี้ยังมี ประเด็นที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนน่าสนใจมากขึ้นอีกประเด็นคือ การที่ MSCI เพิ่มน้ำหนักหุ้นจีนในดัชนีอย่างต่อเนื่อง โดยนำหุ้น A-Shares เข้ามาคำนวณรวมในดัชนีสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ ประเด็นนี้ ก็ถือเป็นอีกประเด็นที่ช่วยเสริมความเชื่อมั่นการลงทุนในตลาดหุ้นจีนมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาแม้นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจีนมากขึ้นอยู่แล้ว หลังจากที่จีนเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น แต่เมื่อเทียบสัดส่วนที่นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีน กับที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกแล้ว กลับพบว่า ยังมีสัดส่วนน้อยอยู่ ทั้งที่ตลาดหุ้นจีนซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ประมาณ 10% ของตลาดหุ้นโลก เมื่อ MSCI เพิ่มน้ำหนักหุ้นจีนมากขึ้น ก็จะทำให้นักลงทุนต่างชาติที่มีการลงทุนโดยเทียบเคียงตามดัชนี MSCI เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีนตาม
ขณะเดียวกันหากนักลงทุนเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนยังไปต่อได้และไปได้ดีด้วยเมื่อเทียบกับในโลก ก็จะสนใจมาลงทุนมากขึ้น โดยเมื่อราคามีการปรับลดลงก็คงมีการทยอยเข้าไปลงทุนเพิ่ม ส่วนประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทำให้บริษัทจีนซึ่งจดทะเบียนในอเมริกา เริ่มมีแนวทางจดทะเบียนใน 2 ตลาดมากขึ้น คือ นำหุ้นมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนด้วย ก็จะเพิ่มความน่าสนใจให้ตลาดหุ้นจีนอีกทาง
มาถึงตรงนี้แล้วหากนักลงทุนสนใจลงทุนในจีนมากขึ้น ประเทศไทยก็มีกองทุนต่างๆ ที่ลงทุนในหุ้นจีนอยู่มาก มีทั้งที่ไปลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น หรือที่เรียกว่า (A-Shares) หุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง (H-Shares) รวมถึงหุ้นจีนที่ไปจดทะเบียนในตลาดอื่นๆ เช่น หุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่ไปจดทะเบียนในตลาดอเมริกา
ในส่วนของ กองทุนบัวหลวง ก็มีกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) ที่ไปลงทุนในหุ้นจีนซึ่งจดทะเบียนในทุกตลาด หรือที่เรียกว่า All China Equity Fund คือ ลงทุนได้ทั้งหมดทั้งใน A-Shares ,H-Shares รวมถึงที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นอื่น โดยจัดสัดส่วนการลงทุนให้น้ำหนักไปยังตลาดที่สนใจในเวลานั้นๆ
ในช่วงเวลานี้เราให้น้ำหนักกับ A-Shares เนื่องจากกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนอยู่ในประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่มีแนวโน้มที่ดี ประกอบกับตลาดหุ้นจีนมีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ มีเม็ดเงินของผู้ลงทุนรายย่อยจำนวนมากหลั่งไหลเข้าไปลงทุน และมีนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจเข้าไปลงทุนมากขึ้น โดยรวมแล้วจึงทำให้ภาพของตลาด A-Shares ในเวลานี้น่าสนใจ โดยหุ้นกลุ่มที่ให้น้ำหนักก็มีทั้งกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม กองทุนก็ไม่ได้ทิ้งหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น H-Shares ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่มีเม็ดเงินของต่างชาติเข้าไปลงทุนมาก เนื่องจากในสมัยก่อนจีนค่อนข้างควบคุมเงินทุนต่างชาติที่จะเข้าไปลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในหุ้นจีนที่ไปจดทะเบียนในตลาดฮ่องกงแทน แต่หลายธุรกิจของจีนที่จดทะเบียนใน H-Shares จะเป็นกลุ่ม Old Economy หรือดำเนินธุรกิจในเศรษฐกิจแบบเก่า ส่วนหุ้นกลุ่มที่เป็น New China ซึ่งก็จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ไปจดทะเบียนในอเมริกา เราก็มีการไปให้น้ำหนักกับตรงนั้นด้วย
ทั้งนี้ B-CHINE-EQ ไม่ใช่กองทุนที่ไปลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลักเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) แต่ว่าเราให้ อลิอันซ์ โกลบอล อินเวสเตอร์ (Allianz Global Investors หรือ AGI) เป็นผู้รับดำเนินงานการลงทุนในต่างประเทศ (Outsourced fund manager) และกองทุนบัวหลวงก็มีทีมงานเฟ้นหาโอกาสเลือกลงทุนหุ้นจีนได้เองควบคู่ไปด้วย ในสัดส่วนไม่เกิน 20% ของ NAV โดยหลักๆ กองทุน B-CHINE-EQ มีการลงทุนผ่านหน่วยลงทุนกองทุนของ AGI ทั้งหมด 2 กองทุน ได้แก่ หน่วยลงทุนกองทุน Allianz All China Equity Fund และ Allianz China A Shares Equity Fund เนื่องจากเราให้น้ำหนักกับหุ้น A-Shares ดังนั้นนอกจากลงทุนในกอง All China Equity Fund ซึ่งมี A-Shares อยู่แล้วจึงลงทุนในกองทุน A Shares Equity Fund เพิ่มเติม
ในส่วนที่กองทุนบัวหลวงสามารถเลือกลงทุนได้เองเพิ่มเติมนั้น ก็ได้มีการไปเลือกลงทุนหุ้นที่เรามองว่ามีอนาคตที่น่าสนใจเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่กองทุนหลักลงทุนอยู่แล้ว แต่เราต้องการให้น้ำหนักมากขึ้น หรือหุ้นอื่นๆ เช่น หุ้นจีนขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดอเมริกา
โดยรวมแล้ว หากนักลงทุนสนใจลงทุนในหุ้นจีน แล้วมีคำถามว่าควรจะลงทุนสัดส่วนเท่าไหร่ ก็ต้องให้คำตอบว่า แล้วแต่บุคคล แต่ถามว่าควรมีหรือไหม ก็ต้องตอบว่า ควรมีกองทุนหุ้นจีนไว้ในพอร์ต โดยสิ่งที่นักลงทุนควรรู้ก่อนลงทุนคือ การลงทุนในตลาดหุ้นจีนมีความผันผวนได้มาก เนื่องจากมีนักลงทุนรายย่อยมากถึง 80% แต่ในประเด็นนี้ก็มีข้อดีเช่นกัน เพราะทำให้ตลาดไม่ถูกควบคุมโดยเงินทุนของต่างชาติ ขณะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนก็คงยังเกิดขึ้นต่อไป แม้ว่าจะมีเลือกตั้งประธานาธิบดีเรียบร้อย แต่ผลพวงสงครามการค้าจะยังมีอยู่ ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนต้องคิดก็คือ หุ้นจีนเป็นของดีที่เหมาะแก่การลงทุน แต่ต้องรู้จักจัดสรรเม็ดเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ไม่ควรนำเงินมาลงทุนมากเกินไป โดยอาจจะลงทุนกองทุนหุ้นจีนในสัดส่วน 10% 20% หรือ 30% ก็แล้วแต่มุมมองความเหมาะสมของแต่ละบุคคล