สรุปความสัมภาษณ์
เสกสรร โตวิวัฒน์ CFP®
ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน
หากเราจะแบ่งกลุ่มตลาดหุ้นตามศักยภาพของประเทศต่างๆ ในโลกของเรา จะแบ่งได้ออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน
1.Developed Market ตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันตก หรือถ้าในเอเชีย ก็จะเป็น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และฮ่องกง เป็นต้น
2.Emerging Market หรือตลาดหุ้นเกิดใหม่ เช่น ไทย เกาหลีใต้ จีน อินเดีย ชิลี บราซิล กรีซ และโปแลนด์ ซึ่งก็มีโอกาสการลงทุนสูงเช่นกัน
3.Frontier Market หรือตลาดหุ้นชายขอบ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่นักลงทุนหลายคนอาจจะไม่คุ้นเคย แต่เต็มไปด้วยศักยภาพและความน่าสนใจลงทุน
4.Standalone market คือกลุ่มตลาดหุ้นที่เกิดใหม่มากๆ มีขนาดเล็กมากๆ เช่น ปานามา เลบานอน ปาเลสไตน์
สำหรับตลาด Developed Market และ Emerging Market เป็นตลาดที่นักลงทุนคุ้นเคยและมีการลงทุนเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันเส้นแบ่งของทั้ง 2 ตลาด ไม่ได้มีนัยสำคัญในการเลือกลงทุนเท่ากับในอดีต เพราะการลงทุนต่างๆ หันมาให้น้ำหนักกับ Theme ต่างๆ มากขึ้น
ทั้งนี้ หากพิจารณารวมทั้ง 4 กลุ่มตลาด จะพบว่า กลุ่มที่น่าสนใจและเป็นที่น่าจับตาของนักลงทุนมากที่สุดก็คือ Frontier Market หรือว่ากลุ่มตลาดหุ้นชายขอบนั่นเอง
Frontier Market หรือว่าตลาดหุ้นชายขอบ เป็นตลาดที่เพิ่งพัฒนาได้ไม่นาน แต่รอวันที่จะเติบโตเพื่อเข้าสู่การเป็นตลาด Emerging Market
อย่างไรก็ตามจากการที่เป็นตลาดเพิ่งเกิดไม่นาน จึงมีความเสี่ยงเรื่องของการลงทุน ได้แก่ สถานะการเมืองของประเทศ สภาพคล่อง กฎเกณฑ์ มาตรฐานการรายงานข้อมูลการเงิน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจ รวมถึงรายได้ของประชากรในประเทศเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตลาดหุ้นชายขอบมีความผันผวนได้มากกว่า Emerging Market ฉะนั้นการลงทุนในตลาดนี้จึงต้องระมัดระวังและคัดเลือกเป็นอย่างดี
หากดูข้อมูลของตลาดหุ้นชายขอบจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เราจะพบว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของกลุ่มประเทศนี้ มีอยู่ประมาณ 3.5% ของ GDP โลก ขณะที่สัดส่วนของตลาดทุนใน Frontier Market คิดเป็น 0.6% ของตลาดทุนโลก ดังนั้นจึงมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
นอกจากนี้ หากพิจารณาผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี ณ เดือน ก.ค. 2021 ของตลาดหุ้น Frontier Market โดยพิจารณาจากดัชนี MSCI Frontier Markets จะพบว่า ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 13.5% ต่อปี ขณะที่ MSCI Emerging Markets โต 10.5% ต่อปี ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นชายขอบก็มีโอกาสที่น่าสนใจ
ที่ใดมีความผันผวน ที่นั่นก็มีโอกาสอยู่ โดยเฉพาะโอกาสของตลาดหุ้นชายขอบหลายๆ ประเทศที่น่าสนใจ โดยประเทศที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม Frontier Market ตลาดหุ้นมีสัดส่วนขนาดใหญ่ถึง 30% ของทั้งกลุ่ม ก็คือ ประเทศเวียดนาม ส่วนอันดับ 2 คือ โมร็อกโก มีสัดส่วนประมาณ 11% และอันดับ 3 ไอซ์แลนด์ สัดส่วนประมาณ 10%
จะเห็นได้ว่า ตลาดหุ้นเวียดนามมีความโดดเด่นและแตกต่างจากตลาดอื่นๆ ในกลุ่ม Frontier Market สูงมาก และการที่เวียดนามมีโอกาสจะขยับมาสู่ Emerging Market โดยการสนับสนุนและนโยบายทางเศรษฐกิจของเวียดนามเอง ทำให้เวียดนามเป็นที่จับตาของนักลงทุน และมีเงินลงทุนไหลเข้าเวียดนามเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน
เมื่อเราลองเจาะลึกเวียดนามให้มากขึ้นไปอีก จะพบว่า เศรษฐกิจของเวียดนามอยู่ในช่วงขอบการเติบโต โดยโครงสร้างประชากรส่วนใหญ่ของเวียดนามอยู่ในวัยแรงงาน ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจเวียดนามมีศักยภาพเติบโตในระยะยาวได้ ซึ่งรายได้ต่อหัวของประชากรเวียดนามก็มีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย
นอกจากนี้เวียดนามยังเป็นเป้าหมายที่บริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลกต้องการย้ายฐานการผลิตไปลงทุน มีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไหลเข้าไปลงทุนในเวียดนามจำนวนมาก
มูลค่าตลาดหุ้นเวียดนามก็น่าสนใจ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยถ้าเราดูราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ของหุ้นขนาดใหญ่ในเวียดนาม ก็อยู่ที่ประมาณ 13.2 เท่า ส่วนดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม VN Index มี P/E 14.7 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมี P/E ประมาณ 18.4 เท่า เพราะฉะนั้นตลาดหุ้นเวียดนามจึงเป็นที่สนใจและจับตาของนักลงทุนทั่วโลก