INVESTMENT STRATEGY
เดือนที่ผ่านมาทาง Fund manager และ Investment analyst จาก BBLAM บินตรงไปเวียดนาม เพื่อลงพื้นที่หาข้อมูลการลงทุนในประเทศเวียดนาม ทั้่งนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการเข้ามาสะสมหุ้นเวียดนาม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนที่มีความโดดเด่น
จังหวะนี้ถ้านักลงทุนกำลังมองอยู่ว่าจะลงทุนหุ้นภูมิภาคไหนดี ก็ต้องยกให้อาเซียนเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่น่าสนใจ โดยมีเวียดนามเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ ซึ่ง BBLAM เชื่อมั่นว่า มีโอกาสเติบโตได้สดใสในระยะกลางและระยะยาว
ถ้าถามว่านาทีนี้ ภูมิภาคไหนน่าลงทุน คุณเจฟ สุธีโสภณ Fund manager จาก BBLAM ก็มองว่า หุ้นอาเซียนนี่แหละที่น่าสนใจ เพราะเศรษฐกิจเพิ่งจะมาฟื้นตัวเต็มรูปแบบในปีนี้ ตามหลังภูมิภาคอื่นที่ฟื้นตัวไปแล้วแถมเงินเฟ้อในภูมิภาคก็ค่อนข้างต่ำ ทำให้ธนาคารกลางในภูมิภาคนี้ไม่ต้องรีบขึ้นดอกเบี้ยเร็ว และที่สำคัญสุดๆ คือ ภูมิภาคนี้มีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หรือ geopolitical risk น้อย
แล้วถ้าดูว่า ประเทศไหนในอาเซียนที่น่าจับตา หนึ่งในนั้น ต้องยกให้เวียดนาม ซึ่งนักลงทุนหลายคนอาจได้เห็นปรากฎการณ์หุ้นเวียดนามร่วงลงมาหนักช่วงที่ผ่านมา แต่คุณเจฟ ระบุว่า นั่นเป็นผลจากการคุมเข้มเรื่องการปั่นหุ้น และทางการต้องการลดความร้อนแรงของภาคอสังหาริมทรัพย์ ไม่อยากให้สถานการณ์เดินไปถึงจุดเดียวกับที่จีนเคยเจอ ซึ่งอาจช็อคตลาดในระยะสั้นแต่จริงๆ แล้วเป็นผลดีระยะยาว เพราะเมื่อตลาดมีความโปร่งใสมากขึ้น ก็อาจจะสนับสนุนให้กำไรขยับขึ้นได้
คุณเจฟ ระบุว่า ตลาดเวียดนามมีนักลงทุนรายย่อยถึง 90% และในเวลาแค่ปีเดียว จำนวนรายย่อยที่เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ เพิ่มจาก 2 ล้านบัญชีเป็น 5 ล้านบัญชี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบัญชีมาร์จิ้น คือ วางเงินไว้ส่วนหนึ่งและยืมเงินส่วนหนึ่งซื้อหุ้นได้ นักลงทุนหน้าใหม่เหล่านี้ ไม่เคยเจอสถานการณ์ตลาดหมี (bear market) มาก่อน พอเจอข่าวคราวที่ทำให้หุ้นตก ก็เลยตกใจ และผู้ที่ใช้บัญชีมาร์จิ้น เวลาที่หุ้นตก จะถูกเรียกวางหลักประกันเพิ่ม แต่เมื่อวางไม่ได้ ก็โดนบังคับขายหุ้นไปโดยปริยาย เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ตลาดผันผวน ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ของตลาด ที่เคยอยู่ที่ 14 เท่า ก็หล่นลงมาเหลือ 11 เท่า
คุณเมธา พีรวุฒิ Investment analyst จาก BBLAM กล่าวเสริมว่า การปรับฐานของตลาดหุ้นเวียดนามครั้งนี้ เป็นหนึ่งในการปรับฐานที่รุนแรงในประวัติศาสตร์ ซึ่งตลาดเวียดนามเวลานี้ คล้ายกับไทยกว่า 10 ปีก่อน ที่มีนักลงทุนรายย่อยมาก และเป็นหน้าใหม่เข้ามามาก ข้อดีของตลาดที่นักลงทุนรายย่อยมากคือสภาพคล่องสูง แต่ข้อเสียคือ ตลาดจะผันผวน โดยเฉพาะถ้าใช้บัญชีมาร์จิ้นซื้อขาย ส่วนเวลาที่ดอกเบี้ยปรับขึ้น ก็จะเจอการตกใจขาย หรือ panic sell ได้
ส่วนกรณีที่รัฐบาลเวียดนามปราบปรามแบบเอาจริงเอาจังในตลาด BBLAM กลับมองเป็นผลดีมากกว่า เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้ตลาดเลื่อนสถานะจากการเป็นตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier market) ไปเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ได้
ในส่วนของ P/E ที่ปรับลดลง เรามองว่าอาจไม่ได้กลับขึ้นมารวดเร็ว เพราะมีเรื่องการปราบปรามในเวียดนามยังเคลียร์ไม่จบ ส่วนโลกก็กำลังมีความเสี่ยงเรื่องการเกิดสถานการณ์เงินเฟ้อสูงแต่เศรษฐกิจตกต่ำ หรือ stagflation สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นรบกวนตลาด แต่ถ้าตัดภาพไปดูความสามารถทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนเวียดนาม จะพบว่า มีมากพอจะผลักดันตลาดขึ้นไปได้ ดังนั้นในระยะกลางและระยะยาว ตลาดเวียดนามก็ยังเป็นตลาดที่สดใส
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22-26 พฤษภาคม 2022 Invesment analyst จาก BBLAM ไปสำรวจตลาดเวียดนามด้วยตัวเองมา เพื่อเจาะลึกให้เห็นภาพจริงๆ สิ่งที่เราพบ คือ ความคึกคักของเศรษฐกิจเวียดนามเริ่มกลับมาเกือบเป็นปกติแล้ว ร้านค้ามีคนเนืองแน่น โดยรวมช่องว่างในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้กลับมาสู่ระดับก่อนเกิดโควิดเวลานี้ ไม่ได้มาจากกิจกรรมในประเทศ แต่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังน้อย ขณะที่ด้านค้าปลีกกลับมาโตเทียบเท่าก่อนโควิด ส่วนการก่อสร้างก็เติบโตตามปกติ
เมื่อดูเทรนด์ธุรกิจที่น่าสนใจ เราเริ่มเห็น shop in shop คือการที่แบรนด์สินค้าต่างๆ นำร้านขายสินค้าอื่นๆ ในเครือบริษัท เข้ามาอยู่ในบริเวณเดียวกันกับหน้าร้านขายสินค้าเดิม เป็นการแบ่งปันยอดผู้ใช้บริการซึ่งกันและกัน ขณะที่การชำระเงินดิจิทัลก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งมาจาก ธนาคารขนาดใหญ่เริ่มให้ผู้ใช้งานโอนเงินได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมเหมือนไทยแล้ว ทำให้การใช้กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ และการชำระเงินผ่านมือถือเป็นที่นิยม
ทั้งนี้ ถ้าดูความน่าสนใจของหุ้นเวียดนาม คุณเจฟ กล่าวว่า หากดูตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นธนาคารของเวียดนามปรับลดลงมามาก แต่ผลกำไรที่ทำได้สวนทางกัน โดยไตรมาสแรก มีกำไรเติบโตถึง 30% หลักๆ ที่หุ้นลง มาจากการมีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก ซื้อขายด้วยบัญชีมาร์จิ้น ทำให้หุ้นธนาคารโดนเทขายมาก
ส่วนปัจจัยที่ทำให้เห็นว่า หุ้นธนาคารมีกำไรดีคือ โดยปกติธนาคารเวียดนามจะได้รับโควต้าการปล่อยกู้จากธนาคารกลาง ซึ่งปีนี้ธนาคารกลางกำหนดให้ปล่อยกู้เติบโตได้ 14% แต่ผ่านมาครึ่งปี ธนาคารบางแห่งใช้โควต้าการเติบโตเกือบเต็มแล้ว เมื่อปล่อยกู้ได้ดี กำไรก็ดี และล่าสุดธนาคารกลางก็ต้องการให้ธนาคารขนาดใหญ่ไปซื้อกิจการธนาคารขนาดเล็ก ซึ่งแม้ว่าจะต้องลุ้นว่ามีความเสี่ยงเรื่องหนี้เสียแถมมาด้วยหรือไม่ แต่สิ่งที่ธนาคารขนาดใหญ่จะได้มาด้วยแน่ๆ คือ การขยายโควต้าปล่อยกู้ได้มากขึ้น และไม่ต้องรวมบัญชีของธนาคารที่ไปควบรวมกิจการมาในช่วง 7-8 ปีข้างหน้า โดยรวมแล้วหุ้นกลุ่มธนาคารจึงยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ
เมื่อมองไปที่หุ้นกลุ่มอื่นๆ คุณเมธา ระบุว่า เทรนด์หุ้นที่น่าสนใจคือ เราพบความพยายามของธุรกิจที่ต้องการสร้างระบบนิเวศของตัวเอง มีหลายธุรกิจในเครือ และพยายามใช้ดิจิทัลเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง เช่น ภาคค้าปลีกที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเลือกที่ตั้งร้านค้าใหม่ เพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จ ซึ่งเราเชื่อว่า ภาคค้าปลีกฝั่งออฟไลน์และออนไลน์จะเติบโตคู่กันไปได้
อีกเทรนด์ที่น่าสนใจ คือ ESG หรือการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล จะเรียกว่าเป็นพลังการเติบโตใหม่ของเวียดนามก็ว่าได้ หลังจากเวียดนามให้คำมั่นว่าจะร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว โดยปัจจุบันเวียดนามมีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมากที่สุดในอาเซียนแล้ว ส่วนใหญ่เป็นพลังงานจากน้ำและแสงอาทิตย์ ขณะที่บริษัทระดับโลกที่เข้าไปตั้งโรงงานในเวียดนาม ก็ประกาศลงทุนเพื่อสร้างโรงงานที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ดังนั้นแนวทางนี้จะบังคับให้ตลาดมุ่งไปทาง ESG โดยปริยาย
หันไปดูที่ภาคท่องเที่ยว ก็พบว่า อนาคตการท่องเที่ยวของเวียดนามน่าจะเติบโตมาก ซึ่งเวียดนามก็มีการสร้างโรงแรมใหม่ๆ รองรับไว้มากเช่นกัน
คุณเมธา ชี้ว่า ในการคัดเลือกหุ้นเวียดนามของกองทุน B-VIETNAM นั้น BBLAM ใช้กลยุทธ์ top down คือ ดูภาพรวมก่อน และใช้กลยุทธ์ bottom up คือ มุ่งไปที่ตัวบริษัท ควบคู่กันไป โดยเราวัฎจักรเศรษฐกิจแบบนี้ เราจะมองหาหุ้นที่มีงบการเงินที่ดี สามารถส่งผ่านต้นทุนปรับขึ้นราคาได้ รวมทั้งมองหาบริษัทผู้ชนะในช่วงที่ตลาดอ่อนแอ หรือสามารถไปควบรวมกิจการได้
ทั้งนี้ เนื่องจาก B-VIETNAM มีการลงทุนในหุ้นขนาดกลางของเวียดนามด้วย ซึ่งหุ้นเหล่านี้จะดูเพียงตัวเลขอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำการบ้านลงพื้นที่ดูให้เห็นในเชิงลึก พร้อมพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในตลาดนี้ เช่น มีการพูดคุยกับตัวแทนของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งมีสาขาอยู่ในเวียดนาม ดังนั้นก็จะทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดดี พร้อมกันนี้ยังมีทีมนักเศรษฐศาสตร์คอยหาข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคมาวิเคราะห์ร่วมกัน และที่สำคัญทีมยังนำประสบการณ์จากการซื้อขายหุ้นในประเทศอื่น มาต่อจิ๊กซอว์เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นด้วย
โดยรวมแล้ว BBLAM มีประสบการณ์ลงทุนในหุ้นอาเซียนมา 5-6 ปีแล้ว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ตรงในตลาดนี้
แนะนำกองทุน B-VIETNAM และถ้าต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะนำกองทุน B-VIETNAMRMF
อ่าน BBLAM Weekly Investment Insights 20 – 24 มิถุนายน 2022 ฉบับเต็มได้ที่ https://www.bblam.co.th/bualuang-insights/bblam-investment-insights/20-24-2022