วิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ เศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นตัว และการที่ภาครัฐไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เพียงพอ เป็นเหตุผลให้นักลงทุนโยกเงิน หนีจากหุ้นจีนอย่างต่อเนื่องในปีนี้
เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเป็นเดือนที่นักลงทุน “ขายสุทธิ” หุ้นจีนสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มใช้ stock connect เชื่อมโยงการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นจีนกับตลาดหุ้นฮ่องกงในเดือนพฤศจิกายน 2014 ส่งผลให้เมื่อเทียบรายไตรมาส ไตรมาส 3 ของปีนี้เป็นไตรมาสที่นักลงทุนขายสุทธิหุ้นจีน สูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2014 ด้วยเช่นกัน
คำถามที่น่าสนใจในตอนนี้คือ อสังหาฯ จีนถึงจุดแย่สุดหรือยัง แล้วตลาดหุ้นจีนจะตกต่ำไปกว่านี้อีกหรือไม่
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานผลการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์และนักจัดการเงินลงทุนในฮ่องกงและจีน แผ่นดินใหญ่จำนวน 15 คน เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ 9 คน จาก 15 คน (คิดเป็น 60%) มองว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังไม่ถึงจุดที่เลวร้ายที่สุด กล่าวคือ วิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนจะเลวร้ายลงยิ่งกว่านี้อีก และอาจจะผลักดัน ให้นักลงทุนเคลื่อนย้ายเงินลงทุน ออกจากตลาดหุ้นจีนต่อไปอีก
ผู้ตอบแบบสอบถาม 6 จาก 15 ราย (คิดเป็น 40%) ระบุว่า ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดสำหรับหุ้นจีนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ส่วนเรื่องความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นข้อกังวลใหญ่อันดับสอง
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อภาคอสังหาริมทรัพย์และหุ้นอสังหาฯ จีนแย่ลง อีกในสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวล เรื่องสภาพคล่องของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ และดีมานด์ที่อยู่อาศัยอ่อนแอลงกว่าเดิม ส่งผลให้ดัชนีหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในการ ติดตามของ “บลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์” ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปี
แต่สำหรับตลาดหุ้นจีนในภาพรวมเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นเล็กน้อย เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่มีทัศนคติเชิงบวกต่อตลาดโดยรวม เนื่องจากมาตรการสนับสนุนเชิงนโยบายล่าสุดของภาครัฐ และประเมินมูลค่าของหุ้นที่ไม่แพง โดยมีประมาณ 70% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า พวกเขาวางแผนที่จะเพิ่มการซื้อหุ้นจีนทั้งในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง
อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีอยู่มาก และผู้ตอบแบบสำรวจมองว่ามันยังคงจะส่งผล อย่างมีนัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีน
“เราอยู่ในช่วงที่เลวร้ายที่สุดของวงจรนี้ และเรายังไม่ผ่านพ้นวิกฤต วิกฤตการณ์ภาคอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันจะใช้เวลานานกว่าจะยุติ” เคนนี เหวิน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนของบริษัทจัดการสินทรัพย์และการลงทุน “เคจีไอ เอเชีย” ซึ่งร่วมตอบแบบสำรวจกล่าว และบอกอีกว่า ถ้าวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้รับการจัดการแก้ไขอย่างเหมาะสม ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นจีนก็ไม่น่าจะฟื้นตัวได้ในระดับที่มีความหมาย
ทั้งนี้ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิหุ้นจีนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (ผ่านการเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นฮ่องกง) ประมาณ 5,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ขายสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 12,000 ล้านดอลลาร์ ในเดือนสิงหาคม เป็นแนวโน้มว่าหุ้นจีน น่าจะผ่านจุดที่ต่ำสุดมาแล้ว แม้ว่านักลงทุน ยังกังวลกับภาคอสังหาริมทรัพย์มากอยู่ก็ตาม
มีผู้ตอบแบบสำรวจของบลูมเบิร์กไม่ถึง 1 ใน 3 ที่คาดว่า เงินทุนจะไหลออก ผ่าน stock connect และทำให้ฟันด์โฟลว์ หุ้นจีนสุทธิเป็นลบในปีนี้ สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ของ “โกลด์แมน แซกส์” มองว่า หุ้นจีนจะปรับปรุงดีขึ้น ในช่วงปลายปีนี้
ที่มา: บลูมเบิร์ก