สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า จีนเตรียมใช้มาตรการเพิ่มเติม เพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศ เพียงไม่กี่วันก่อนการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 5 พ.ย.นี้ โดยตามแถลงการณ์ระบุว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จีน กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานกำกับดูแลอีก 4 แห่ง ได้อนุญาตให้บุคคลต่างชาติสามารถลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในฐานะนักลงทุนเชิงกลยุทธ์ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการถือหุ้นแบบไม่มีอำนาจควบคุมในกิจการ จะต้องมีเงินทุนอย่างน้อย 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ตอนนี้ลดลงเหลือ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว
นีโอ หวัง (Neo Wang) กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัยจีนของ Evercore ISI กล่าวว่า “รัฐบาลจีนกำลังดำเนินการเพื่อลดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดหากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง แต่การประกาศแผนรับมือล่วงหน้าจะช่วยให้ดูเหมือนว่า รัฐบาลจีนไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับการกลับมาของทรัมป์ หรือผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ” พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า “หากดูจากเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เข้าสู่จีน ซึ่งค่อนข้างต่ำในช่วงที่ผ่านมา มาตรการเหล่านี้จึงสมควรเกิดขึ้นนานแล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งก็ตาม”
ทั้งนี้ ยอด FDI สุทธิที่เข้ามาในจีน ปรับตัวลดลงในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา ท่ามกลางตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังและความกังวลที่ต่อเนื่องเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎระเบียบ
ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในสหรัฐฯ จะเดินทางไปใช้สิทธิ์ในวันที่ 5 พ.ย.นี้ ในการเลือกตั้งที่หลายฝ่ายคาดว่าจะเป็นการชิงชัยที่สูสีระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และคามาลา แฮร์ริส โดยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า เขาอาจจะกำหนดภาษีศุลกากรสินค้าจีนสูงกว่า 60% หากได้รับเลือก ซึ่งภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นสำหรับสินค้าจีน อาจส่งผลกระทบการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่หลายฝ่ายรอคอยมาอย่างยาวนาน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น ตามการวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs
ที่มา: บลูมเบิร์ก