‘คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์’ ค้านเฟดชะลอทำ QT ชี้ระบบธนาคารยังมีสภาพคล่องเพียงพอ

‘คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์’ ค้านเฟดชะลอทำ QT ชี้ระบบธนาคารยังมีสภาพคล่องเพียงพอ

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ระบุว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะชะลอการทำ QT (Quantitative Tightening) โดยให้เหตุผลว่าปริมาณเงินสำรอง (reserves) ในระบบธนาคารยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก

“การลดขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นส่วนสำคัญในการทำให้นโยบายการเงินกลับสู่ภาวะปกติ และช่วยลดเงินสำรองที่เกินความจำเป็นในระบบธนาคาร” นายวอลเลอร์ กล่าว

วอลเลอร์ ระบุเพิ่มเติมว่า “การชะลอการทำ QT หรือการปล่อยให้พันธบัตรครบอายุโดยไม่มีการซื้อเพิ่มนั้น จะเป็นสิ่งที่เหมาะสม เมื่อปริมาณเงินสำรองใกล้แตะระดับที่พึงมี แต่ผมมองว่า เรายังห่างไกลจากจุดนั้น เพราะปัจจุบันยอดเงินสำรองของเราสูงกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่มากเกินพอ” 

พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า “ไม่มีหลักฐานใดๆ จากตัวชี้วัดในตลาดเงิน หรือจากสิ่งที่ผมได้สนทนากับผู้เกี่ยวข้องที่บ่งชี้ว่า เงินสำรองในระบบธนาคารใกล้ถึงระดับที่พึงมี”

ความเห็นของวอลเลอร์เกิดขึ้น หลังจากที่เฟดประกาศชะลอการทำ QT (Quantitative Tightening) ซึ่งหมายถึง การถอนสภาพคล่องและลดปริมาณเงินที่ไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจลง โดยจะค่อยๆ ลดการถือครองพันธบัตรในงบดุลลง โดยเฟดจะปล่อยให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ วงเงินเพียง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ครบอายุโดยไม่มีการซื้อเพิ่ม ลดลงจากระดับ 25,000 ล้านดอลล์สหรัฐ โดยเฟดยังคงเพดานตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ไว้เท่าเดิมที่ระดับ 35,000 ล้านดอลลาร์ โดยไม่มีการซื้อเพิ่มเติม

การตัดสินใจดังกล่าว มีสาเหตุมาจากความกังวลว่า ความขัดแย้งในสภาคองเกรสเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาล อาจทำให้ไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนว่าเงินสำรองของธนาคารลดลงไปมากน้อยเพียงใด ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเกิดความปั่นป่วนในตลาด หากสภาคองเกรสตัดสินใจเพิ่มเพดานหนี้ในที่สุด โดยนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดกล่าวว่า การชะลอการปรับลดงบดุลจะช่วยให้กระบวนการลดงบดุลเป็นไปอย่างราบรื่นและยาวนานขึ้น และได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากผู้กำหนดนโยบายส่วนใหญ่

ขณะที่ ข้อมูลล่าสุดรายสัปดาห์แสดงให้เห็นว่า ปริมาณเงินสำรองของเฟดยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในช่วงที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ประมาณ 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา: รอยเตอร์