การส่งออกของจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนพ.ค. เนื่องจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลงมากที่สุดในรอบกว่า 5 ปี ซึ่งบดบังดีมานด์ส่งออกที่แข็งแกร่งไปยังตลาดอื่น
การส่งออกของจีน เดือนพ.ค. เพิ่มขึ้นเกือบ 5% เมื่อเทียบรายปี อยู่ที่ 316,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 6% แม้ว่าการส่งออกโดยรวมในปีนี้จะทำสถิติสูงสุด แต่ความต้องการจากสหรัฐฯ ที่ซบเซา อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้จีนตัดสินใจเจรจากับคณะผู้แทนการค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่นครเจนีวาและตกลงหยุดการเก็บภาษีชั่วคราว
การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลง 34.4% ตามการคำนวณของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ซึ่งถือเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2020 ซึ่งเป็นช่วงการแพร่ระบาดรอบแรกของโรคโควิด-19 และทำให้เศรษฐกิจจีนต้องหยุดชะงัก แม้สหรัฐฯ และจีน จะบรรลุข้อตกลงผ่อนปรนระงับภาษีชั่วคราวในวันที่ 12 พ.ค. ก็ตาม
ยอดส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่ลดลงดังกล่าว บดบังการขยายตัว 11% ในการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลของสหรัฐฯ ที่เป็นชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่า จีนจะพยายามลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ หลังสิ้นสุดวาระแรกของทรัมป์ก็ตาม
ขณะที่ การส่งออกไปเวียดนามพุ่งขึ้น 22% แตะระดับ 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน เนื่องจากบริษัทจีนยังคงใช้ช่องทางส่งออกผ่านประเทศที่ 3 เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การส่งออกของสินค้าเหล่านี้กลับทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับเวียดนามและประเทศอื่นๆ มากขึ้น ทำให้การเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ข้อมูลครั้งนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของการส่งออกแร่ “แรร์เอิร์ธ” ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นขัดแย้งหลักระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา จีนได้กำหนดให้แร่แรร์เอิร์ธบางรายการ รวมถึงผลิตภัณฑ์อย่างแม่เหล็ก ต้องขอใบอนุญาตส่งออก ทำให้การส่งออกชะลอตัวลงอย่างมากและบีบให้ผู้ผลิตทั่วโลกต้องหยุดสายการผลิตบางส่วน ซึ่งการควบคุมการส่งออกของจีนจะเป็นหัวข้อสำคัญในการเจรจาทางการค้าที่จะมีขึ้นในกรุงลอนดอนในวันจันทร์นี้
ด้านการนำเข้าของจีนลดลง 3.4% เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ขณะที่ ความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีน ยังแสดงให้เห็นจากข้อมูลเงินเฟ้อ ซึ่งเผยว่า จีนยังอยู่ในภาวะเงินฝืดในเดือนพ.ค. โดยราคาสินค้าหน้าโรงงานลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 32 ขณะที่ราคาผู้บริโภคลดลงจากปีก่อนหน้าเช่นกัน
ที่มา Bloomberg, สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย