เจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JPMorgan Chase ประเมินความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะสูงขึ้นอีกประมาณ 40-50% ขณะที่ ตลาดโดยรวมประเมินไว้ที่ 20% ย้ำการที่ตลาดการเงินประเมินความเป็นไปได้ต่ำเกินไปนั้น เป็นเรื่องที่น่ากังวล
ไดมอน กล่าวในงานเสวนาที่จัดโดยกระทรวงการคลังไอร์แลนด์ โดยให้เหตุผลว่า การที่เขาให้น้ำหนักมากกว่าคนอื่นๆ เกี่ยวกับแนวโน้มที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะสูงขึ้นนั้น เนื่องจากนโยบายภาษี การผลักดันผู้อพยพ และการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวแปรหลักที่นำไปสู่เงินเฟ้อ นอกจากนี้ การปรับโครงสร้างระบบการค้าและประชากรโลกก็มีส่วนทำให้เกิดเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน
เมื่อเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม 4.25-4.50% ซึ่งนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด คาดว่า เงินเฟ้อจะเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต เนื่องจากผู้บริโภคต้องจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับการซื้อสินค้า เนื่องจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะที่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้ากดดันให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ยโดยเร็ว รวมถึงกดดันพาวเวลล์ให้ลาออกจากประธานเฟด
ขณะเดียวกัน ยังระบุว่า ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ แบบเรียลไทม์นั้น ไม่สามารถตีความได้เลย ซึ่งตนมองว่า ตลาดการเงินกำลังประมาทนโยบายภาษีของทรัมป์และความไม่แน่นอนทางการค้าโลกมากเกินไป
ปัจจุบัน JPMorgan Chase มีสัดส่วนบัญชีลูกค้ารายย่อยในสหรัฐฯ มากที่สุด และมีเงินฝากของกลุ่มนี้ ในสัดส่วน 11.3%
ที่มา Investing , สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย