กิจกรรมภาคการผลิตจีนในก.ค. หดตัวแตะ 49.5 สะท้อนการส่งออกชะลอตัว

กิจกรรมภาคการผลิตจีนในก.ค. หดตัวแตะ 49.5 สะท้อนการส่งออกชะลอตัว

ผลสำรวจภาคเอกชน ระบุว่า กิจกรรมภาคการผลิตของจีน หดตัวลงในเดือนก.ค. แตะระดับ 49.5 โดยการเติบโตของธุรกิจใหม่ที่อ่อนตัวลง ทำให้ผู้ผลิตต้องลดกำลังการผลิต

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของจีน จาก S&P Global เดือนก.ค. ลดลงจากระดับ 50.4 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 50.4 โดยค่าที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงการหดตัว โดยตัวเลขดังกล่าว ประกอบกับผลสำรวจอย่างเป็นทางการเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นถึงโมเมนตัมการเติบโตที่ไม่ดีในช่วงเริ่มต้นไตรมาส 3 หลังจากที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2025

นักเศรษฐศาสตร์ ระบุว่า แม้จะมีการสงบศึกทางการค้ากับสหรัฐฯ แต่แรงหนุนจากการเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจเริ่มลดลงในช่วงที่เหลือของปี โดยคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกใหม่ หดตัวเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันและในอัตราที่เร็วกว่าเดือน มิ.ย. ขณะที่ ผลผลิตภาคการผลิต ลดลงในเดือน ก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้นในเดือนก่อนหน้า โดยบริษัทต่างๆ หันไปใช้สินค้าคงคลังที่มีอยู่เพื่อตอบสนองคำสั่งซื้อ

ด้านการจ้างงาน เนื่องจากการผลิตที่ลดลงประกอบกับปริมาณสินค้าคงคลัง ทำให้เจ้าของโรงงานต้องลดจำนวนพนักงานในเดือน ก.ค. โดยบริษัท ระบุว่า ความกังวลด้านต้นทุนเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจปลดพนักงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้นในช่วงเริ่มต้นครึ่งหลังของปี 2025 แต่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย โดยบรรดาผู้ผลิตคาดหวังว่า สภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและความพยายามในการส่งเสริมการขายจะช่วยกระตุ้นยอดขายในปีหน้า

ราคาต้นทุนเฉลี่ย เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน หลังจากที่รัฐบาลจีนเริ่มจัดการกับสงครามราคาในหมู่ผู้ผลิต อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงลดราคาขายลงเนื่องจากการแข่งขัน เพื่อหาธุรกิจใหม่ทวีความรุนแรงขึ้น แต่ค่าธรรมเนียมการส่งออกกลับเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบปี เนื่องจากต้นทุนการขนส่งและโลจิสติกส์ที่สูงขึ้น

ทั้งนี้ ผู้นำระดับสูงของจีน ได้ให้คำมั่นว่า จะสนับสนุนเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ โดยจะจัดการกับการแข่งขันที่ไร้ระเบียบในช่วงครึ่งหลังของปี โดยนักลงทุนคาดว่า รัฐบาลจีน อาจจะเริ่มรอบใหม่ของการลดกำลังการผลิตในโรงงาน ซึ่งเป็นนโยบายที่รอคอยมานาน แต่ก็มีความท้าทายในการต่อสู้กับภาวะเงินฝืด 


ที่มา: Reuters, สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย