กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มองว่า สถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลกยังไร้ทิศทางที่ชัดเจน ท่ามกลางมาตรการขึ้นภาษีนำเข้า โดยบริษัทในสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ ที่มีการขึ้นภาษีนำเข้าเลือกแบกรับต้นทุนส่วนใหญ่ไว้เอง ขณะที่ความต้องการสินค้าในประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ เช่น จีน ยังคงซบเซา ส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค
จูลี โคแซ็ก (Julie Kozack) โฆษก IMF กล่าวในการแถลงข่าวก่อนการประชุมประจำปีของ IMF และธนาคารโลกว่า เศรษฐกิจโลกแสดงให้เห็นถึง “ความยืดหยุ่น” แม้เผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษี แต่เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนมากขึ้น “ในแง่เงินเฟ้อ เราเห็นภาพที่หลากหลาย” โดยระบุว่า การส่งผ่านภาระภาษีสู่ผู้บริโภคบางส่วนส่งผลให้เงินเฟ้อพื้นฐานในสหรัฐฯ สูงขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อทั่วไปกลับเร่งตัวเร็วขึ้นในอังกฤษ ออสเตรเลีย และอินเดีย แต่ในจีนและบางประเทศเอเชียกลับเผชิญแรงกดดันเงินเฟ้อเบาบาง เนื่องจากภาษีทำให้ความต้องการสินค้าส่งออกลดลง นอกจากนี้ ยังระบุว่า “เรายังเห็นบริษัทจำนวนหนึ่ง แบกรับผลกระทบภาษีไว้เอง นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เงินเฟ้อในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจำกัดในช่วงนี้ แต่จะคงอยู่นานแค่ไหนยังเป็นคำถาม”
รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ฉบับถัดไปของ IMF ซึ่งจะเผยแพร่วันที่ 14 ต.ค. จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของภาษีต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐฯ อย่างละเอียด ขณะที่การติดตามและประเมินนโยบายและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ (Article IV Consultation) มีกำหนดในเดือนพ.ย. นี้
โฆษก IMF ยังกล่าวถึงการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนก.ย. โดยมองว่าเป็นไปอย่างเหมาะสม เนื่องจากตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแรงและเงินเฟ้อกำลังมุ่งสู่เป้าหมายของเฟด แต่เตือนว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อขาขึ้นยังมีอยู่ ทำให้เฟดจำเป็นต้องติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดก่อนการตัดสินใจครั้งต่อไป
ทั้งนี้ สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันพุธนั้น IMF ระบุว่า กำลังติดตามสถานการณ์และอยู่ระหว่างประเมิน โดยย้ำว่าผลกระทบขึ้นอยู่กับระยะเวลาและรูปแบบของการปิดหน่วยงาน พร้อมแสดงความหวังว่า รัฐบาลจะสามารถประนีประนอมและหาทางออกเพื่อจัดสรรงบประมาณได้ครบถ้วน
ที่มา Reuters, สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย