เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลาง สหรัฐฯ (เฟด) ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวดีกว่าคาดและผลิตภาพแรงงานยังแข็งแกร่ง แม้ยังอยู่ในช่วงปรับตัวรับผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรและนโยบายควบคุมผู้อพยพ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์กังวลว่า อาจนำไปสู่ทั้งเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นพร้อมกัน
สถานการณ์ดังกล่าว ถือเป็นโจทย์ท้าทายของเฟด ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและรักษาอัตราการจ้างงานให้สูง ขณะที่ การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการบางส่วน ทำให้รายงานการจ้างงานเดือนก.ย. ยังไม่ออกมา โดยรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ จะเผยแพร่ในวันที่ 24 ต.ค. จากเดิมที่มีกำหนดในวันนี้ (15 ต.ค.) ก่อนการประชุมเฟดวันที่ 28–29 ต.ค.
ด้านนักลงทุน คาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่กรอบ 3.75%–4.00% และอาจปรับลดลงอีกครั้งในเดือนธ.ค. โดยเกรกอรี ดาโก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ EY-Parthenon กล่าวว่า “เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความยุ่งเหยิงจากแรงผลักดันที่ขัดแย้งกัน โดยเฉพาะจากภาษีศุลกากรและการจำกัดแรงงานต่างชาติ ในขณะเดียวกัน เราก็เห็นการลงทุนอย่างมหาศาลในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่ง 2 แรงนี้กำลังหักล้างกันไปมา ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน แต่ส่งผลซับซ้อนต่อทิศทางเศรษฐกิจ”
เจ้าหน้าที่เฟดหลายราย มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ในเรื่องสมดุลระหว่างความเสี่ยงของเงินเฟ้อกับตลาดแรงงาน โดยคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟด กล่าวว่า “บางอย่างต้องยอมถอย” โดยชี้ว่า การประเมิน GDP ไตรมาส 3 ของเฟดสาขาแอตแลนตา อยู่ที่ราว 4% ขณะที่ ข้อมูลการจ้างงานจากบริษัท ADP กลับชี้ว่า สหรัฐฯ เลิกจ้างงานในเดือนก.ย.เป็นจำนวนมาก โดยสนับสนุนให้ลดดอกเบี้ยต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อป้องกันแรงกระแทกต่อการจ้างงาน
การลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนก.ย. ถูกมองว่า เป็นการสร้างสมดุลระหว่างการหนุนตลาดแรงงานกับการกดเงินเฟ้อเอาไว้ แม้รายงานการจ้างงานเดือนก.ย. ยังไม่ออกมา แต่ข้อมูลจากภาคเอกชนหลายแหล่ง สะท้อนว่า การจ้างงานชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม อัตราว่างงานเดือนส.ค. อยู่ที่ 4.3% ซึ่งถือว่าใกล้ระดับการจ้างงานเต็มที่และประมาณการของเฟดสาขาชิคาโก ก็ชี้ว่า อัตราดังกล่าวแทบไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนก.ย.
ขณะที่ แบบสำรวจของสมาคมนักเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติสหรัฐฯ (NABE) คาดว่า เงินเฟ้อที่เฟดใช้วัดเป้าหมายจะอยู่ที่ 2.5% ตลอดปีหน้า โดยคาเรน ไดแนน นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และนักวิจัยอาวุโสจากสถาบัน Peterson Institute for International Economics ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้ออาจแตะ 3.3% ภายในปี 2026 จากผลกระทบของภาษีที่เริ่มส่งต่อไปสู่ผู้บริโภค
ทั้งนี้ อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่บางส่วนมองในทางบวกว่า สหรัฐฯ อาจอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติผลิตภาพจากเทคโนโลยี AI โดย แอนนา พอลสัน ประธานเฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย กล่าวว่า เราไม่ควรเหยียบเบรกกระแสผลิตภาพ ที่กำลังจะมาถึง พร้อมสนับสนุนการลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ว่า เหมาะสม
ที่มา: Reuters,