กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียปี 2025 สู่ระดับ 4.5% เพิ่มขึ้น 0.6 จุดเปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่ประเมินไว้ในเดือนเม.ย. แม้ชะลอลงเล็กน้อยจากระดับ 4.6% ในปีที่แล้ว พร้อมเตือนว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้ง อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อภูมิภาคที่มีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างลึกซึ้ง

กฤษณะ ศรีนิวาสัน (Krishna Srinivasan) ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียและแปซิฟิกของ IMF ระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิกยังคงขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา แม้ภูมิภาคเอเชีย จะยังต้องรับภาระหนักจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของเอเชียยังเผชิญความเสี่ยงขาลงที่สำคัญ เนื่องจากสงครามภาษียังไม่จางหาย และอาจถูกยกระดับได้อีกในอนาคต อีกทั้งยังกล่าวว่า “เมื่อความเสี่ยงระดับโลกเริ่มปรากฏ ผลกระทบต่อทวีปเอเชียจะรุนแรงกว่าภูมิภาคอื่น เพราะเอเชียเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานโลก ความตึงเครียดระหว่างเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อย่างสหรัฐฯ และจีน จึงย่อมส่งผลกระทบต่อภูมิภาคนี้มากกว่า” โดยความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจีนขยายมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งกระตุ้นให้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 100% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.
IMF ระบุว่า ผลกระทบจากความขัดแย้งครั้งนี้ ยังไม่สะท้อนอยู่ในประมาณการล่าสุด โดย IMF คาดว่า เศรษฐกิจเอเชียจะขยายตัว 4.5% ในปี 2025 ลดลงจาก 4.6% ในปีก่อนหน้า แต่ปรับเพิ่มขึ้น 0.6 จุดเปอร์เซ็นต์ จากประมาณการเมื่อเดือนเม.ย. และคาดว่าจะชะลอลงเหลือ 4.1% ในปี 2026
ศรีนิวาสัน กล่าวว่า “ภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นเครื่องจักรหลักของเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่า จะมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของ GDP โลกถึงราว 60% ทั้งในปีนี้และปี 2026” พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า การส่งออกของภูมิภาคได้รับแรงหนุนจากการเร่งขนส่งสินค้าก่อนการปรับขึ้นภาษี การขยายตัวของการค้าภายในภูมิภาค และกระแสเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะเกาหลีใต้และญี่ปุ่นที่ได้อานิสงส์จากความต้องการสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง อีกทั้งตลาดหุ้นที่คึกคัก ต้นทุนการกู้ยืมระยะยาวที่ลดลง และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม ศรีนิวาสัน เตือนว่า “ความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยังคงเอนเอียงไปทางด้านลบ”
นอกจากนี้ ยังระบุว่า อัตราดอกเบี้ยอาจกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง หากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรงขึ้น ขณะที่ สภาพคล่องทางการเงินที่ตึงตัว อาจเพิ่มภาระหนี้ของบางประเทศและกดดันการเติบโต
ทั้งนี้ ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียและแปซิฟิกของ IMF เรียกร้องให้ประเทศในเอเชียร่วมมือกันปฏิรูป เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว พร้อมเสนอให้ประเทศในภูมิภาค ลดการพึ่งพาการส่งออก และหันมาเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยอุปสงค์ภายในประเทศมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่า การเพิ่มความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจภายในภูมิภาคเอเชีย อาจช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ได้มากถึง 1.4% ในระยะกลางสำหรับทั้งภูมิภาค
ที่มา: Reuters , สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย