
ตลาดคาดการณ์ว่า เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในสัปดาห์นี้ แม้ผู้กำหนดนโยบายบางส่วนจะกังวลว่า เงินเฟ้อยังคงสูงเกินไปก็ตาม ด้านผลสำรวจโดยบลูมเบิร์กคาดว่า เฟดจะพักการปรับลดอัตราดอกเบี้ยชั่วคราว ก่อนจะลดอีกสองครั้งในปี 2026
เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน เมื่อเดือนต.ค. เนื่องจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทรุดลงอย่างฉับพลันในช่วงฤดูร้อน แต่หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน ในจำนวนนี้มี 5 คนที่มีสิทธิ์โหวต แสดงความกังวลและส่งสัญญาณในเชิงเข้มงวด แสดงความลังเล หรือยังไม่เห็นด้วยกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรอบที่ 3 ในเดือนธ.ค.
ความเห็นต่างในหมู่เฟดยิ่งขยายวงออกไป จากการขาดข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด เนื่องจากสถานการณ์ชัตดาวน์ที่ยาวนานถึง 43 วัน ในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย. โดยตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดที่มีอยู่ตอนนี้ คือ ข้อมูลของเดือนก.ย. ที่เพิ่งรายงานไปเมื่อเดือนก.ย. ซึ่งเป็นรายงานที่ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงการถกเถียงเรื่องนโยบายได้
ในช่วงที่มีการชัตดาวน์ จนถึงประมาณหนึ่งสัปดาห์ในช่วงกลางเดือนพ.ย. นักลงทุนแสดงความไม่มั่นใจว่า เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. หรือไม่ ก่อนที่สถานการณ์จะชัดเจนขึ้นในวันที่ 21 พ.ย. เมื่อจอห์น วิลเลียมส์ (John Williams) ประธานเฟด สาขานิวยอร์ก ซึ่งเป็นผู้ที่ตลาดมองว่า มีแนวความคิดใกล้เคียงกับพาวเวลล์มาก ออกมาพูดว่า ตนเองมองว่ามีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ ตลาดตอบรับสัญญาณนี้ และให้น้ำหนักกว่า 90% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 9-10 ธ.ค.
ฝั่งนักเศรษฐศาสตร์ที่บลูมเบิร์กได้สำรวจความเห็น คาดว่า เฟดจะหยุดพักการปรับลดดอกเบี้ย หลังจากลดไปในเดือนธ.ค. และจะเริ่มปรับลดอีกสองครั้งในปีหน้า คือ ในเดือนมี.ค. และก.ย. ซึ่งเมื่อมีข้อมูลชุดใหม่ออกมาเพิ่มเติมมากขึ้น หลังจากที่สำนักงานสถิติดำเนินการรวบรวมข้อมูลที่ตกค้างเรียบร้อยแล้ว ก็จะช่วยคลี่คลายความตึงเครียดของเฟดในการบรรลุภารกิจคู่ขนาน (Dual mandate) นั่นคือ การควบคุมเงินเฟ้อและรักษาการจ้างงานสูงสุดอย่างมีเสถียรภาพ
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของเฟดยังคงรออยู่ข้างหน้า เพราะคาดว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศรายชื่อผู้ที่จะมารับตำแหน่งต่อจากพาวเวลล์ในไม่ช้า โดยมีตัวเต็งคือ เควิน แฮสเซ็ตต์ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐฯ ซึ่งภักดีต่อทรัมป์ ทำให้เกิดความกังวลในหมู่นักลงทุนบางส่วนว่าประธานเฟดคนต่อไปจะเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยตามคำสั่งของทรัมป์ ซึ่งเสี่ยงทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น
Bloomberg Economics มองว่า “หากพาวเวลล์ยังคงยึดมั่นในนโยบายเชิงเข้มงวดต่อไป และเอาใจประธานสาย Hawkish สิ่งที่ทำจะยังมีความหมายอยู่หรือไม่? เพราะท้ายที่สุดแล้ว ประธานเฟดคนต่อไป ซึ่งแฮสเซ็ตต์เป็นตัวเต็ง อาจเข้าร่วมคณะกรรมการได้เร็วที่สุดในเดือนก.พ. นั่นจะทำให้พาวเวลล์อยู่ในสภาพเป็ดง่อยในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายก่อนหมดวาระประธานเฟด
ที่มา: Bloomberg, สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
