เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นจีน
ตลาดหุ้นจีนช่วงที่ผ่านมาเผชิญกับภาวะการขายโดยใช้อารมณ์จากนักลงทุนรายย่อยที่มองตลาดทุนเป็นเครื่องมือสำหรับการทำกำไรระยะสั้น (Short term Focus) และมีพฤติกรรมซื้อขายหลักทรัพย์โดยดูจากโมเมนตัมเป็นหลัก นักลงทุนกลุ่มดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วน 85% ของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์รายวัน (Daily Market turnover) ปัจจัยระยะสั้นที่ว่านี้กระทบต่อจิตวิทยาของนักลงทุนรายย่อยจีนเนื่องจากกังวลสงครามการค้าและเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่มีการลดหนี้ (De-leveraging) ว่าอาจทำให้เครื่องยนต์ที่เคยใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลายปีที่ผ่านมาจะหยุดชะงักลง ด้วยเหตุที่ว่านี้ราคาหุ้นจีนที่จดทะเบียนในประเทศจึงลดลงมากกว่าราคาหุ้นจีนที่จดทะเบียนซื้อขายอยู่ในต่างประเทศอาทิ ฮั่งเส็ง และแนสแดก
การเคลื่อนไหวด้านพอร์ตโฟลิโอของกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) เล็งเห็นโอกาสในช่วงที่ราคาหุ้นลดลงจึงเพิ่มสัดส่วนถือครองหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และวัสดุ ตัวอย่างการลงทุนที่เห็นได้ชัดคือ บริษัท Hua Hong Semiconductor ผู้ผลิตชิปเทคโนโลยีชั้นสูงประเภท 8 inch wafers กองทุนถือครองหุ้นดังกล่าวอยู่ในอันดับ 7 ของพอร์ตลงทุนในสัดส่วน 3.1% หุ้นดังกล่าวสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตมากที่สุด (Top Positive Contributor) โดยนับตั้งแต่วัดจัดตั้งกองทุน B-CHINE-EQ ราคาหุ้นบริษัท Hua Hong เพิ่มขึ้นถึง 67% หากมองย้อนหลัง 1 ปีราคาหุ้นเพิ่มถึง 170% เนื่องจากยอดขายสินค้าบริษัทประเภทชิปของบริษัทได้รับความต้องการจากผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า จึงดันยอดขายและกำไรสุทธิเติบโตสูงสุด
ในทางตรงข้ามหุ้นลงทุนในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ของพอร์ตลงทุนสร้างผลตอบแทนไม่ดีเพราะปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนรายย่อยเบาบางจากกความกังวลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามกองทุนให้น้ำหนักกับบริษัทในกลุ่มดังกล่าวน้อย โดยเลือกที่จะถือครองบริษัทหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพ มีส่วนแบ่งตลาดสูง มีการขยายธุรกิจไปยังดิจิทัลเทรด มีรายได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็น บริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัทจัดการกองทุน และวานิชธนกิจ
ที่มา: Allianz Global Investor
มุมมองต่อตลาดหุ้นและกลยุทธ์การลงทุน
การรวมหุ้นจีนเข้าในดัชนี MSCI Emerging Market เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2018 เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโครงสร้างตลาดทุนจีนในสายตาของนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากมูลค่าตลาดหุ้นจีนที่จดทะเบียนในประเทศ (Onshore) ที่มีมูลค่าสูงถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตลาดทุนโลกสัดส่วนของหุ้นจีนที่จดทะเบียนในประเทศที่เหมาะสมควรอยู่ที่สัดส่วนมากกว่า 18% ใน MSCI EM Index ปัจจุบันมีเพียง 0.73%
การปรับตัวลดลงของตลาดที่ผ่านทำให้เกิดความวิตกว่าหุ้นจีนจะร่วงซ้ำรอยเหมือนปี 2015 หรือไม่ พิจารณาแล้วพบว่ามีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เนื่องจาก
- เศรษฐกิจมหภาคและพื้นฐานบริษัทแข็งแกร่งกว่า 3 ปีก่อนเห็นได้จากดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจ เช่น Purchasing Manager Index (PMI) และ Industrial Profit Growth สูงกว่าปี 2015 อยู่มาก
- กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตได้ตามที่ตลาดคาดแม้จะอยู่ในช่วงที่มีความขัดแย้งการค้ากับสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นเป็นเพียงปัจจัยภายนอก (External Factor) ที่จีนเผชิญและส่งผลเชิงลบต่อการลงทุนระยะสั้น
- ระดับราคาหุ้นในดัชนี MSCI All China ปัจจุบันซื้อขายที่ 11.5 X Forward P/E เนื่องจากหุ้นบางตัวในดัชนีถูกแรงเทขายอย่างขาดการพิจารณาในช่วงที่ข่าว Trade War สะพัด ช่วงดังกล่าวผู้จัดการลงทุนในต่างประเทศของกองทุน B-CHINE-EQ ได้เพิ่มหุ้นคุณภาพเข้าพอร์ตในช่วงที่ตลาดย่อลง โดยเข้าไปเก็บบริษัทดีๆ ในกลุ่มธุรกิจระบบอัตโนมัติอุตสาหกรรม (Industrial Automation) ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ประเภท Smart Device บริษัทในกลุ่มเกษตรกรรม ท่องเที่ยวและบันเทิง
จุดเด่นกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ)
“โอกาสการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนหุ้นจีนที่จดทะเบียนในประเทศ (Onshore) และต่างประเทศ (Offshore) เรียกได้ว่าเป็น One Stop Shop” (ดูได้จากกราฟ 1)
ปัจจัยบวกและลบต่อตลาดหุ้นจีนในระยะถัดไป
(+) ท่ามกลางสงครามการค้า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี MSCI All China ในไตรมาส 2Q2018 ยังเติบโตได้ระดับ 11-13% ต่อปี ซึ่งถือว่าเท่ากับ/สูงกว่าที่ตลาดคาดภายหลังเกิดสงครามการค้า [กราฟ 2 แสดงให้เห็นว่าระดับ Valuation ลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี (สำหรับหุ้นจีนที่จดทะเบียนในประเทศ) และใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปี (สำหรับหุ้นจีนที่จดทะเบียนต่างประเทศ)] เมื่อใดก็ตามที่ความกังวลการค้ายุติลงมีโอกาสที่หุ้นจะเพิ่มขึ้น (Re-Rating) ภายหลังจากที่ถูกแรงขายจากนักลงทุนรายย่อยในช่วงก่อนหน้านี้
(+) โครงการเชื่อมโยงระหว่างตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง (Shanghai HK และ Shenzhen HK Stock Connect) ช่วยพัดพากระแสเงินลงทุนต่างชาติเข้าตลาดจีน Mainland ปัจจุบันสัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติในตลาด A-Shares มีสัดส่วนเพียง 5.4% ของ Free float Market Cap (หรือ 2.1% ของ Full Market cap) การเข้ามาของ flow ต่างชาติ จะช่วย “ปลดล็อค” มูลค่าของหุ้นจีน ซึ่งยังซื้อขายใน valuation ที่ต่ำ
(+/-) ความเสี่ยงในภาคสินเชื่อจีนไม่ได้สร้างปัญหาให้กับตลาดหุ้นจีน เนื่องจากเป็นหนี้จำนวนมหาศาลนั้น เกิดขึ้นกับภาคธุรกิจที่แทบจะไม่ได้มีความได้เปรียบในการแข่งขันหรือจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจดีๆ ในระบบที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพในการทำกำไรและมีงบการเงินแข็งแกร่ง
Key questions and answers จากผู้จัดการกองทุน Allianz All China Fund ซึ่งที่ทำหน้าที่บริหารการลงทุนในต่างประเทศ (Outsource Fund Manager) ให้กับกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ)
- สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน (Trade war) ที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อความสามารถของบริษัทจดทะเบียนมากน้อยเพียงไหน
ส่งผลกระทบน้อยมากต่อกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนในพอร์ตลงทุนใน 2Q2018 หรือแทบจะไม่กระทบ เนื่องจากหุ้นที่ถือครองมีความสัมพันธ์กับการบริโภคในประเทศตามการวางกลยุทธ์จัดพอร์ตของผู้จัดการกองทุน
- อัพเดทความเคลื่อนไหวของหุ้นสำคัญๆ ในพอร์ตกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) ณ 30 มิ.ย. 2018
- China International Travel (หุ้นอันดับ 3 น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 1%, ) ราคาขึ้นมา New High ทำให้ P/E สูงขึ้น ผู้จัดการกองทุนจึงเริ่มหาไอเดียใหม่ๆ ด้วยการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นขนาดเล็ก-ขนาดกลางที่ทำธุรกิจคล้ายกันแทน
- Angle yeast (หุ้นอันดับ 5 น้ำหนักในพอร์ต 4%) รายได้บริษัทกว่า 1 ใน 3 มาจากต่างประเทศ การที่เงินหยวนอ่อนค่าตั้งแต่ต้นปีส่งผลบวกต่อกำไร เนื่องจากรายได้ในต่างประเทศที่มาจากยอดขายในยุโรปตะวันออกและแอฟริกาเหนือ เมื่อบันทึกแปลงกลับมาเป็นหยวนจึงได้มากขึ้น บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าเนื่องจากไม่ได้ส่งสินค้าไปขายยังสหรัฐฯ ราคาหุ้นที่ลดลงจาก Sentiment ผู้จัดการกองทุนจึงใช้โอกาสนี้ในการสะสมหุ้นเข้าในพอร์ต
- Wuliangye Yibin (หุ้นอันดับ 6 น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 1%) มี Earning Growth เติบโตมาก ทำให้ราคาหุ้น Outperform ตลาด กองทุนเพิ่มน้ำหนักมากขึ้นเนื่องจากเชื่อมั่นต่อการเติบโต
- ภาพรวมกองทุนเน้น Overweight หุ้นกลุ่ม Domestic consumption เช่น Consumer discretionary และ Consumer Staple รวมถึงกลุ่ม Industrial เนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตสูง
- นอกจากนี้หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ซึ่งเป็น Best performing sector ของหุ้นจีนใน 2Q2018 และราคาหุ้นกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นกว่า 10% ทั้งที่ตลาดร่วง YTD ในระยะหลังราคาหุ้นอาจลดลงบ้างจากประเด็นที่ทางการเข้ามาสอบสวนคุณภาพของผู้ผลิตยาและวัคซีน (Safety of Vaccine) ให้มีมาตรฐานยิ่งขึ้นราคาหุ้นจึงร่วงลงในช่วงท้าย ทั้งนี้กองทุนจะรอจนราคาลดลงมากกว่านี้และจะกลับมา Overweight ณ Good Entry point เนื่องจากมองว่าเป็น Secular Growth Sector ของหุ้นจีนไปอีกยาวไกล อีกทั้งยังมี Innovative Drug maker (อาทิบริษัท Hua tong Pharmaceutical), Healthcare Service provider และ Gene Testing Service เนื่องจากเป็น Growth sector ที่มีกำไรเติบโตกว่า 60% ต่อปีในไตรมาสที่ผ่านมา
กลยุทธ์พอร์ตลงทุนยังคงเน้นบริษัทในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก
- การบริโภคในประเทศจีน (Higher Purchasing power) – สัดส่วน Export to GDP ลดลงจาก 35% ในปี 2007 เหลือ 19% ในปี 2018, รายได้ต่อหัวของคนจีน เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 11,000 ดอลลาร์ (อาทิ Wuliangye Yibin ผลิตสุราขาวพรีเมี่ยม)
- การใช้จ่ายด้านเฮลธ์แคร์ที่สูงขึ้น (อาทิ บริษัทที่ลงทุน Jiangsu Hengrui Medicine, Aier Eye Hospital Group)
- นวัตกรรม เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า (อาทิ บริษัทที่ลงทุน Midea Group ซึ่งใช้หุ่นยนต์ AI ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า, บริษัท Han’s Laser Technology ทำธุรกิจเลเซอร์ตัดโลหะโดยใช้เลเซอร์)