ภาพรวมตลาดหุ้น
ดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ย. ปรับตัวสูงขึ้น 2% จากเดือนก่อนหน้า ให้ผลตอบแทนดีกว่าเมื่อเทียบกับภูมิภาค สาเหตุหลักเพราะตลาดมีความคาดหวังเรื่องการเลือกตั้ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า พ.ร.ป. การเลือกตั้ง ส.ส. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้การเลือกตั้งสามารถจัดขึ้นได้ภายใน 150 วันหลังจากที่กฎหมายเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ในเดือน ธ.ค. 2018 หรือภายในเดือน พ.ค. 2019 รวมทั้งประเด็นเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าเทียบกับค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ด้วยสถานะการเงินการคลังของประเทศไทยที่ดีกว่าโดยเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ผู้ซื้อหลักในตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นนักลงทุนสถาบันในประเทศ โดยมีแรงซื้อผ่านกลุ่มหุ้นพลังงาน ตามราคาน้ำมัน WTI ที่ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 73.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากต้นเดือนที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล กลุ่มไฟแนนซ์ขนาดเล็กที่ปรับตัวขึ้นหลังตลาดคลายความกังวลประเด็นเพดานดอกเบี้ยสูงสุด โดยตัวเลขอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ ธปท.เพิ่งประกาศในช่วงปลายเดือน ก.ย. สูงกว่าที่บริษัทไฟแนนซ์ขนาดเล็กส่วนใหญ่เรียกเก็บ ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายต่อเนื่องในระดับเดียวกันกับเดือนก่อนหน้าที่ 10,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ ระดับนี้น่าจะยังไม่ใช่ระดับที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างประเทศ
ด้านปัจจัยนอกประเทศที่ยังคงกดดันตลาดหุ้นโดยรวมยังเป็นประเด็นสงครามการค้าที่เริ่มเห็นการตอบโต้ระหว่างกันมากขึ้น หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนด้วยอัตราภาษี 10% บนสินค้านำเข้ามูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้จีน ยกเลิกแผนเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และขึ้นภาษีนําเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตราภาษี 5-10% พร้อมทั้งปรับลดภาษีนำเข้าจากคู่ค้าอื่นๆ ลง
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวต่อตลาดหุ้นไทยยังคงประเมินได้ยาก เนื่องจากยังไม่เห็นข้อสรุปในรายละเอียดที่ชัดเจน ส่วนปัจจัยภายในประเทศของไทย มีทั้งปัจจัยที่เป็นบวกและปัจจัยที่เป็นลบ โดยปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่ ประเด็นเรื่องการเลือกตั้งในประเทศ ที่น่าจะช่วยกระตุ้นการเบิกจ่ายจากทางภาครัฐ รวมถึงแนวโน้มทิศทางการบริโภคในประเทศที่ดีขึ้น ขณะที่ปัจจัยลบภายในประเทศที่สำคัญ คือ ตัวเลขนักท่องเที่ยวในเดือน ส.ค. ที่ออกมาน่าผิดหวัง แม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 3.04% แต่เมื่อดูรายประเทศ พบว่า นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนปรับตัวลดลง -11.77% yoy เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ปรับตัวลดลง -0.87% yoy สะท้อนให้เห็นว่าเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ตส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญของการเข้ามาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย
ขณะที่ รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนช่วง Golden week ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดหวัง อาจส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย ส่วนประเด็นที่ต้องจับตา คือ ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ที่จะทยอยประกาศออกมาในช่วงกลางเดือน โดยตลาดคาดว่าน่าจะไม่เห็นการเติบโตของผลประกอบการที่โดดเด่นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยภาพรวมยังไม่เห็นปัจจัยที่เป็นแรงหนุนของตลาดหุ้นไทยในระยะนี้ แม้ว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนในช่วงปลายปี ทั้งการไหลเข้าของเม็ดเงิน LTF,RMF และการเข้าสู่เทศกาลการเลือกตั้งของประเทศไทยในช่วงปี 2019 แต่เรามองว่าตลาดให้น้ำหนักกับผลประกอบการไตรมาสสามที่จะเริ่มประกาศมากกว่า อีกทั้งความกังวลต่อประเด็นสงครามการค้าและการเร่งตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ หลังถ้อยแถลงประธานFed ที่ส่งสัญญาณที่ค่อนข้าง Hawkish กว่าที่ตลาดประเมินไว้ยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลก
เรายังคงกลยุทธ์เช่นเดียวกับเดือนก่อนหน้า โดยมองว่า การพิถีพิถันเลือกลงทุนเป็นพิเศษในหุ้นรายตัวที่มีแนวโน้มของผลประกอบการที่ดีและมีมูลค่าที่เหมาะสมเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับการลงทุนในช่วงนี้
Fund Comment SET Thailand
Fund Comment : ตลาดหุ้น กันยายน 2018
ภาพรวมตลาดหุ้น
ดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ย. ปรับตัวสูงขึ้น 2% จากเดือนก่อนหน้า ให้ผลตอบแทนดีกว่าเมื่อเทียบกับภูมิภาค สาเหตุหลักเพราะตลาดมีความคาดหวังเรื่องการเลือกตั้ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า พ.ร.ป. การเลือกตั้ง ส.ส. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้การเลือกตั้งสามารถจัดขึ้นได้ภายใน 150 วันหลังจากที่กฎหมายเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ในเดือน ธ.ค. 2018 หรือภายในเดือน พ.ค. 2019 รวมทั้งประเด็นเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าเทียบกับค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ด้วยสถานะการเงินการคลังของประเทศไทยที่ดีกว่าโดยเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ผู้ซื้อหลักในตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นนักลงทุนสถาบันในประเทศ โดยมีแรงซื้อผ่านกลุ่มหุ้นพลังงาน ตามราคาน้ำมัน WTI ที่ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 73.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากต้นเดือนที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล กลุ่มไฟแนนซ์ขนาดเล็กที่ปรับตัวขึ้นหลังตลาดคลายความกังวลประเด็นเพดานดอกเบี้ยสูงสุด โดยตัวเลขอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ ธปท.เพิ่งประกาศในช่วงปลายเดือน ก.ย. สูงกว่าที่บริษัทไฟแนนซ์ขนาดเล็กส่วนใหญ่เรียกเก็บ ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายต่อเนื่องในระดับเดียวกันกับเดือนก่อนหน้าที่ 10,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ ระดับนี้น่าจะยังไม่ใช่ระดับที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างประเทศ
ด้านปัจจัยนอกประเทศที่ยังคงกดดันตลาดหุ้นโดยรวมยังเป็นประเด็นสงครามการค้าที่เริ่มเห็นการตอบโต้ระหว่างกันมากขึ้น หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนด้วยอัตราภาษี 10% บนสินค้านำเข้ามูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้จีน ยกเลิกแผนเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และขึ้นภาษีนําเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตราภาษี 5-10% พร้อมทั้งปรับลดภาษีนำเข้าจากคู่ค้าอื่นๆ ลง
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวต่อตลาดหุ้นไทยยังคงประเมินได้ยาก เนื่องจากยังไม่เห็นข้อสรุปในรายละเอียดที่ชัดเจน ส่วนปัจจัยภายในประเทศของไทย มีทั้งปัจจัยที่เป็นบวกและปัจจัยที่เป็นลบ โดยปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่ ประเด็นเรื่องการเลือกตั้งในประเทศ ที่น่าจะช่วยกระตุ้นการเบิกจ่ายจากทางภาครัฐ รวมถึงแนวโน้มทิศทางการบริโภคในประเทศที่ดีขึ้น ขณะที่ปัจจัยลบภายในประเทศที่สำคัญ คือ ตัวเลขนักท่องเที่ยวในเดือน ส.ค. ที่ออกมาน่าผิดหวัง แม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 3.04% แต่เมื่อดูรายประเทศ พบว่า นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนปรับตัวลดลง -11.77% yoy เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ปรับตัวลดลง -0.87% yoy สะท้อนให้เห็นว่าเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ตส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญของการเข้ามาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย
ขณะที่ รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนช่วง Golden week ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดหวัง อาจส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย ส่วนประเด็นที่ต้องจับตา คือ ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ที่จะทยอยประกาศออกมาในช่วงกลางเดือน โดยตลาดคาดว่าน่าจะไม่เห็นการเติบโตของผลประกอบการที่โดดเด่นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยภาพรวมยังไม่เห็นปัจจัยที่เป็นแรงหนุนของตลาดหุ้นไทยในระยะนี้ แม้ว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนในช่วงปลายปี ทั้งการไหลเข้าของเม็ดเงิน LTF,RMF และการเข้าสู่เทศกาลการเลือกตั้งของประเทศไทยในช่วงปี 2019 แต่เรามองว่าตลาดให้น้ำหนักกับผลประกอบการไตรมาสสามที่จะเริ่มประกาศมากกว่า อีกทั้งความกังวลต่อประเด็นสงครามการค้าและการเร่งตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ หลังถ้อยแถลงประธานFed ที่ส่งสัญญาณที่ค่อนข้าง Hawkish กว่าที่ตลาดประเมินไว้ยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลก
เรายังคงกลยุทธ์เช่นเดียวกับเดือนก่อนหน้า โดยมองว่า การพิถีพิถันเลือกลงทุนเป็นพิเศษในหุ้นรายตัวที่มีแนวโน้มของผลประกอบการที่ดีและมีมูลค่าที่เหมาะสมเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับการลงทุนในช่วงนี้