สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาอินโดนีเซียได้ลงนามในข้อตกลงด้านเศรษฐกิจกับสมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ถือเป็นข้อสรุปที่ได้หลังจากเจรจากันมาเกือบ 8 ปี
ภายใต้ข้อตกลงนี้ อุปสรรคด้านภาษีและอุปสรรคที่ไม่ใช่เรื่องภาษีจะถูกกำจัดออกไป สำหรับผลิตภัณฑ์กว่า 1,000 รายการที่อินโดนีเซียและประเทศในกลุ่ม EFTA ค้าขายกัน โดยประเทศในกลุ่ม EFTA ประกอบด้วย สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ นอร์เวย์ และไอซ์แลนด์
ส่วนสินค้าที่ครอบคลุม ได้แก่ น้ำมันปาล์มของอินโดนีเซีย จะสามารถเข้าถึงตลาดไอซ์แลนด์และนอร์เวย์ได้อย่างเต็มที่ ยกเว้นผลิตภัณฑ์ปาล์มสำหรับอาหารอื่นๆ นอกเหนือจากปลา ขณะที่ สวิตเซอร์แลนด์ ก็พร้อมเปิดรับผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มง่ายขึ้น แต่อยู่ภายใต้โควต้าที่แน่นอน
Enggartiasto Lukita รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าอินโดนีเซีย กล่าวแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเข้าถึงตลาดต่างๆ ของน้ำมันปาล์มว่า เป็นประเด็นที่เจรจาลากยาวมาหลายปีแล้ว โดยการหารือรอบแรกเริ่มขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 2011
Johann N. Schneider-Ammann สมาชิกสภาแห่งสหพันธ์สวิส กล่าวว่า ข้อตกลงนี้อยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืนในผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์ม
จากข้อมูลของอินโดนียเซีย พบว่า ปี 2017 มูลค่าการค้าระหว่างอินโดนีเซียและประเทศกลุ่ม EFTA อยู่ที่ 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอินโดนีเซียเกินดุลการค้า 212 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนประเทศในกลุ่ม EFTA มีการลงทุนโดยตรงในอินโดนีเซีย 621 ล้านดอลลาร์สหรัฐ