การเลือกตั้งสหรัฐฯ ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว หลายคนก็อยากจะรู้ว่าถ้า ‘ทรัมป์’ หรือ ‘ไบเดน’ เป็นประธานาธิบดี จะมีผลต่อการลงทุนอย่างไร และควรจัดพอร์ตแบบไหน วันนี้กองทุนบัวหลวงจะมาเผยมุมมองให้ได้รับทราบ พร้อมเจาะลึกว่าช่วงนี้มีตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ไหนบ้างที่น่าลงทุน ติดตามได้จากคลิปวิดีโอนี้
- การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ทั่วโลกต่างจับตามอง นับจากวันนี้จนไปถึงวันเลือกตั้ง กองทุนบัวหลวงมองภาพตลาดเป็นอย่างไรบ้าง และมีปัจจัยอะไรที่นักลงทุนต้องติดตาม?
US election ครั้งนี้ทำไมจึงสำคัญมาก ทั่วโลกต่างจับตาการเลือกตั้งสหรัฐฯ และเป็นครั้งที่คนอเมริกันน่าจะออกมาใช้สิทธิ์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ วันนี้ขอมาเน้น 3 ประเด็นหลักที่น่าสนใจ
ประเด็นแรก คือ การเลือกตั้งคราวนี้ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยเป็นการเลือกทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. และเลือก วุฒิสมาชิกด้วย จึงทำให้ครั้งนี้น่าจับตามองขึ้นไปอีก เพราะว่าหากการเลือกตั้งคราวนี้ เดโมแครตชนะทั้ง ประธานาธิบดี ส.ส. และ วุฒิสมาชิก ก็จะกลายเป็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจโดยแท้จริง ต่อไปการผ่านกฎหมายต่างๆ ก็จะง่ายขึ้น ดังนั้นจึงมีผลกระบการลงทุนและนโยบายการลงทุนอย่างมาก
ประเด็นที่สอง สำหรับการเลือกตั้ง สิ่งที่ต้องโฟกัส คือ รัฐที่พรรคการเมืองได้รับคะแนนสนับสนุนสูสีกันเหล่านี้ หรือที่เรียกว่า Swing state ซึ่งมีบทเรียนมาแล้วตั้งแต่คราวก่อน ทรัมป์สามารถชนะใน Swing state ได้หลายรัฐเช่น มิชิแกน เพนซิลเวเนียและวิสคอนซิน ที่ชนะเพียงเฉียดฉิวแต่ได้คะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง หรือ Electoral Vote มาทั้งหมด ดังนั้นการเลือกตั้งในครั้งนี้ยังคงต้องจับตามอง คือ เพนซิลเวเนีย วิสคอนซิน ฟลอริดาและมิชิแกน
ขณะที่ประเด็นสุดท้ายคือ การระบาดของโควิด-19 ทำให้สหรัฐฯ อนุญาตให้ประชาชนออกมาลงคะแนนล่วงหน้าได้ ทั้งการส่งไปรษณีหรือมาด้วยตนเอง ซึ่งจุดนี้ก็น่าจะเป็นอีกปัจจัยที่อาจทำให้ทุกอย่างวุ่นวายยืดเยื้อได้ ดังที่ทรัมป์เคยบอกว่า The Mail voting is cheater. มีการออกมาพูดว่า ทรัมป์จะยอมรับผลเลือกตั้งต่อเมื่อ The result of free and fair election. จุดนี้จึงทำให้ความผันผวน หรือ volatility ยังน่าจะอยู่กับเราอีกยาว และในคืนวันที่ 3 พ.ย. อาจคงไม่ได้รู้ผลด้วยซ้ำว่าใครจะคว้าชัยชนะ
- นโยบายการบริหารประเทศของทั้งสองขั่วแตกต่าง เมื่อใครเป็นผู้ชนะจะมีผลต่อการลงทุนอย่างไรบ้าง?
นโยบายด้านการค้ากับจีน ไม่ว่าจะเป็นไบเดน หรือทรัมป์ มาก็ยังเน้น นโยบาย Anti-China เพียงแต่ว่าไบเดน นโยบายอาจจะมีความแน่นอนกว่า มีการเจรจาประณีประนอมกว่า ซึ่งการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนก็จะยังมีต่อไป ยกเว้นว่าถ้าไบเดนมาเค้าก็มองว่าจีนอาจจะต้องเอาอะไรมาแลก
อีกหนึ่งประเด็นที่มักจะถูกพูดถึงคือมาตรการการเก็บภาษี ที่ ไบเดนบอกว่าจะเก็บภาษีนิติบุคคลหรือ Corporate Tax เพิ่มขึ้นจาก 21% เป็น 28% ซึ่งก็มีการคาดการณ์ว่าหากมีการปรับเพิ่มภาษีจะทำให้กำไรต่อหุ้นหรือ EPS ของบริษัทจดทะเบียนในตลาด S&P ลดลง 5-8% ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดหนีไม่พ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่เป็นสินค้าฟุ้มเฟือย
ขณะที่นโยบายด้านพลังงานไบเดน จะเน้นเรื่องพลังงานสะอาด เพื่อไปถึงเป้าหมายกำจัดคาร์บอนออกจากสิ่งแวดล้อมในปริมาณที่เทียบเท่ากับคาร์บอนที่ปล่อยออกไป “สุทธิเป็นศูนย์” ซึ่งแน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจพลังงานและก๊าซ
นโยบายสุดท้ายที่ค่อนข้างจะแตกต่างกันมากคือ เฮลธ์แคร์ ซึ่งสมัยที่ไบเดนดำรงตำแหน่งรองประธานของในสมัยที่โอบามานั่งตำแหน่งประธานาธิบดี ก็เป็นคนช่วยผลักดันกฎหมายประกันสุขภาพที่ชื่อว่า Affordable care act ซึ่งเรื่องนี้แน่นอนมีผลต่อกลุ่มบริษัทยาในสหรัฐฯ เพราะจะเอื้อให้ Medicare เจรจาค่ายากับบริษัทยาได้โดยตรง การลดราคายา ลดค่าประกันสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งทรัมป์เค้าไม่ได้แตะในเรื่องนี้เลย
- หากเรามองไปข้างหน้าในระยะ 12 เดือน ในแง่ของสินทรัพย์เสี่ยงถือว่ายังน่าลงทุนอยู่รึเปล่า?
เรามองข้ามไปถึงหลังการเลือกตั้งเลย ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีก็ตาม สินทรัพย์เสี่ยง ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ เพราะไม่ว่าใครเข้ามาก็จะต้องมีนโยบายที่กระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แล้ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งถ้าตาม Base Case หาก ไบเดนชนะ สภาเป็นแบบเดแครตกวาดเรียบ หรือ Democrat Sweep บางคนอาจมองว่าไม่ดีต่อตลาดหุ้นเพราะจะมาปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลรึเปล่า แต่หากลองมองอีกแง่หนึ่งคือ ไบเดนเข้ามาพร้อมกับมาตรการทางด้านการคลังระดับมหาศาล ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน มีการอัดฉีดเพิ่มเติมเช่นกัน ทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินโลกยิ่งสูงขึ้นไปอีกจากตอนนี้ที่สูงที่สุดในประวัติการณ์อยู่ ซึ่งหากเราวัดจาก M2 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โลกที่ปัจจุบันอยู่ที่ 117% สะท้อนสภาพคล่องที่มีล้นเหลือ
อีกทั้งเศรษฐกิจอยู่ในระยะของการฟื้นตัวที่ช่วยเอื้อให้สถานการณ์การลงทุนดูสดใสขึ้น ทำให้คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนที่ดีขึ้น การเกิดสถานการณ์โควิด-19 แม้ว่าจะเป็นวิกฤติ แต่ก็นับเป็นโอกาสเช่นกันสำหรับนักลงทุน ทำให้โอกาสในการลงทุนมีเพิ่มมากขึ้น นักลงทุนมีทางเลือกหลากหลายในการแสวงหาผลตอบแทน เช่น บางธุรกิจก่อนโควิด-19 เราไม่คาดคิดมาก่อน ก็กลับกลายว่ามีความสำคัญขึ้นได้รวดเร็ว เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องการประชุมออนไลน์ เป็นต้น
คำถามก็คือเงินที่ไปพักรออยู่ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นมีเยอะมาก ด้วยสภาพคล่องล้นขนาดนี้ อัตราดอกเบี้ยอยู่ระดับต่ำอย่างนี้ คงหนีไม่พ้นที่เงินจะต้องกระจายมาที่สินทรัพย์เสี่ยง
แม้ Valuation ของหุ้นขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว แต่เมื่อคิดเป็นอัตราผลตอบแทนของตลาดหุ้น หรือ Earning Yield ที่ได้จากการลงทุนในหุ้นที่ประมาณ 4.8% เทียบกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่ได้อัตราผลตอบแทนประมาณ 0.8% ยังทำให้การลงทุนในหุ้นเป็นทางเลือกที่ดี
ในระยะต่อไป เราก็คิดว่าหลังเลือกตั้ง น่าจะมีมาตรการการคลังออกมา ประกอบกับ liquidity ที่เฟดยังช่วยพยุงตลาดอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่มากเหมือนช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. แต่ว่าสภาพคล่องก็ถือว่ายังล้นตลาด ประกอบกับข่าวเรื่องวัคซีน ทำให้เราเห็นว่า ใน 12 เดือนข้างหน้า หุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าพันธบัตร โดยช่วงนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีที่สุดในการทยอยเก็บหุ้นเพื่อรอวัฏจักรใหม่ของเศรษฐกิจที่กลับมา
- ถ้าให้มองความน่าสนใจในการลงทุน ตลาดหุ้น DM VS EM แล้วประเทศไหนที่น่าสนใจลงทุน?
ในกลุ่มประเทศตลาดพัฒนาแล้วหรือว่า DM ในช่วงเลือกตั้งนี้เราค่อนข้าง หลีกเลี่ยงหุ้นที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งเราให้น้ำหนักกับหุ้นยุโรปและญี่ปุ่น เรามองว่าเป็นการ Hedge ประเด็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ ได้ และเมื่อมองถึงหุ้นยุโรป STOXX 600 พบว่า PE ปีหน้าอยู่ที่ 16.1 เท่า ซึ่งเทียบกับค่าเฉลี่ย PE ในช่วง 10 ปีอยู่ที่ 13 เท่า ก็ไม่ได้ถือว่าแพง แม้ว่าความเสี่ยงของฝั่งยุโรปคือจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะฝรั่งเศสยังน่าเป็นห่วง สเปน แต่ประเทศเหล่านี้ก็จะได้ประโยชน์หากมีวัคซีนมา
สำหรับญี่ปุ่น ที่เรามองเห็นโอกาส แม้ว่าญี่ปุ่นจะมีนายกรัฐมนตรีใหม่ แต่ยังคงมีความต่อเนื่องของนโยบาย ขณะที่ TOPIX พบว่า PE ปีหน้าอยู่ที่ 15 เท่า ซึ่งเทียบกับค่าเฉลี่ย PE ในช่วง 10 ปีอยู่ที่ 13.4 เท่า ซึ่งถือว่าไม่ได้แพงมาก
ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ หรือ EM เราชอบจีน และ เอเชียเหนือเช่น ไต้หวันและเกาหลีถือว่าน่าสนใจ ด้วยแวดล้อมของเทคโนโลยี ทำให้เราเห็นความโดดเด่นในการลงทุนระยะยาว โดบเฉพาะหุ้นจีน เมื่อมาพิจารณาจาก Valuation ก็ถือว่าไม่แพงเกินไป
อีกหนึ่งปัจจัยที่น่าสนใจคือความหวังวัคซีนซึ่งก็มีการคาดการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างวัคซีนกับตลาดจะพบว่าถ้าวัคซีนมาประเทศที่จะได้รับอานิสงส์หนีไม่พ้น อินเดีย ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ แต่ไม่ส่งผลบวกต่อจีน เพราะคนติดเชื้อแทบไม่มีแล้ว ซึ่งอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือกลุ่มยานยนต์ และขนส่ง ในทางกลับกันไม่เอื้อต่อกลุ่มเทค อินเทอร์เน็ต บันเทิง สื่อสารโทรคมนาคม และอี-คอมเมิร์ซ
- กองทุนบัวหลวงมีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นจีนบ้างรึเปล่า?
กองทุนบัวหลวงมีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นจีนที่ชื่อว่า B-CHINE-EQ มีลักษณะการลงทุนแบบ All China คือ ลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในทุกกระดานหรือทุกประเทศที่ผู้จัดการกองทุนมองว่ามีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดี มีศักยภาพในการเติบโต ซึ่งการที่กองทุนลงทุนได้ในหุ้นจีนหลากหลายตลาดนี้นับว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในตัว เพราะหาก หุ้นจีนในสหรัฐฯ ได้รับปัจจัยกดดันจากประเด็นระหว่างสหรัฐฯ และจีน กองทุนก็จะมีหุ้นที่จดทะเบียนในจีนและฮ่องกงเป็นตัวชดเชย หรือในขณะที่หุ้น A Share มีมูลค่าที่สูงเกินไป ก็จะมีหุ้นจีน H share มาชดเชย
หุ้นที่กองทุนไปลงทุน มีทั้งที่ได้รับประโยชน์จากการบริโภค หุ้นที่เกี่ยวกับภาคบริการซึ่งเป็น sector ที่สำคัญของจีน หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ New Economy โดยหุ้นที่มีสัดส่วนการลงทุนในกองทุนเป็นอันดับต้นๆ ก็ เช่น BABA ที่กำไรสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดี หรือ China Tourism Group Duty free ที่หลังจากพื้นที่ shopping ในมณฑลไห่หนานกลับมาเปิด ก็ทำให้ยอดขายเร่งตัวขึ้นอย่างมากเพราะคนจีนไม่สามารถเดินทางไปยังต่างประเทศเพื่อ shopping ได้ เลยมา shop ที่ duty free ในประเทศแทน
เราเชื่อว่าตลาดหุ้นจีนจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในแง่มุมของ Global Equity Allocation ที่ยังต่ำมาก และบริษัทจดทะเบียนของจีนจะมีความน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหุ้น IPO ใหม่ๆ ในกลุ่ม New Economy หรือบริษัทจีนบางบริษัทที่เคยจดทะเบียนซื้อขายอยู่ที่ต่างประเทศ ก็กลับมา list ที่จีน เช่น SMIC ที่เป็นบริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์ อันดับสองของโลก รวมถึงเราเห็นความพยายามของจีนอย่างต่อเนื่องในการผ่อนคลายกฎระเบียบ สำหรับนักลงทุนต่างชาติ เราจึงเชื่อว่าตลาดหุ้นจีนยังดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลกได้อีกมาก
นอกจาก B-CHINE-EQ แล้ว กองทุนบัวหลวงยังมีแผนที่จะออกกองทุนที่ลงทุนในจีนในช่วงไตรมาส 4 นี้ แต่เป็นรูปแบบของ RMF เพื่อให้นักลงทุนได้ทั้งประโยชน์จากการลงทุนระยะยาวในจีนและสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี