ทิศทางการการลงทุนตลาดหุ้นเอเชียไม่รวมประเทศญี่ปุ่น
กองทุนหลักประเมินเศรษฐกิจเอเชียหลังผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ว่าจะออกมาไม่ดีในปีนี้ โดยจะฟื้นตัวได้ในครึ่งหลังของปี ค.ศ. 2021 เพราะเอเชียเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพิงการส่งออกสินค้าไปยังชาติตะวันตกในสัดส่วนที่สูงหากชาติตะวันตกยังไม่ฟื้นตัว ก็คงยากที่การค้าการขายสินค้าของบริษัทฝั่งเอเชียจะออกมาดี ในแง่การบริหารกองทุนกองทุนหลักสร้างผลตอบแทน (-24.34%) ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (-18.38%) ในไตรมาสแรกเนื่องจากพอร์ตมีสไตล์เอนเอียงไปทางหุ้น value ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อตอนต้นปี ค.ศ. 2020 ผู้จัดการกองทุนเชื่อมั่นว่าหุ้น Value น่าจะได้ประโยชน์จากการนโยบายการเงินผ่อนคลายทั่วโลก การฟื้นตัวของกำไรขั้นต้นบริษัท การผ่อนคลายลงของสงครามการค้า โมเมนตัมดังกล่าวน่าจะช่วยให้หุ้น Value ที่กองทุนหลักถือครองสร้างผลตอบแทนโดดเด่นในปีนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับมีทิศทางตรงกันข้าม
หลังเกิดสถานการณ์ COVID-19 หุ้นของบริษัทที่อยู่กลุ่มสถาบันการเงินซึ่งกองทุนหลักถือครองประมาณหนึ่งในสี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผลตอบแทนออกมาต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน แม้ว่าหุ้นที่ถือครองในกลุ่มเทคโนโลยี สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น เฮลธ์แคร์ มีส่วนช่วยแต่ไม่มากพอ ช่วงที่ราคาหุ้นเอเชียร่วงลงระหว่างเดือนมี.ค.- เม.ย. กองทุนหลักเพิ่มน้ำหนักหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินของประเทศจีนชื่อ บริษัท ICBC แม้จะเพิ่มหุ้นจีนแต่กองทุนหลักยังคงมีน้ำหนักประเทศจีนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
มุมมองรายประเทศที่กองทุนหลักได้ให้ความสำคัญและมีน้ำหนักลงทุนมากกว่าหรือน้อยกว่าดัชนี
- เกาหลีใต้ (น้ำหนักในกองทุนหลัก 16.98% น้ำหนักในดัชนี 13.05%)
หลังจากที่เกาหลีใต้เผชิญปัญหาแบบ Perfect Storm ในปี ค.ศ. 2019 ทั้งปัญหาการเมืองภายในประเทศจากการที่รัฐบาลประกาศเพิ่มรายได้จ้างงานขั้นต่ำโดยหวังว่าผู้บริโภคจะบริโภคสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นแต่ผลลัพธ์ที่ได้คือบริษัทส่วนใหญ่ไม่สามารถจะจ้างงานเพิ่มขึ้นเนื่องจากต้นทุนการดำเนินธุรกิจสูงขึ้น จนรัฐบาลยอมคงอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้เอาไว้ก่อน (ทั้งที่ 2-3 ปีที่ผ่านมารายได้ขั้นต่ำขยับขึ้นมาแล้วในอัตรา 20%) โดยหันมาใช้นโยบายการคลังเข้าสนับสนุนเศรษฐกิจแทนต่อจากปีที่แล้วด้วยการออกมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเป็นมูลค่ารวมประมาณ 176 ล้านล้านวอน เพื่อช่วยเหลือตลาดแรงงานในประเทศและพยุงเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
นอกจากนี้ตัวเลขอัตราการว่างงานในเดือนเม.ย. ออกมาอยู่ที่ระดับ 3.8% ซึ่งอยู่ที่ระดับเดียวกับเดือนที่ผ่านมา ขณะที่อุตสาหกรรมส่งออกหลักของประเทศคือเซมิคอนดักเตอร์ทั้ง DRAM และ NAND มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ประเทศเกาหลีใต้เริ่มผ่อนคลายมาตรการการปิดเมืองอาจทำให้ตัวเลข economic activity กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่เดือนมี.ค. ที่ผ่านมาตัวเลข Industrial production ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยปรับขึ้นจาก -3.8% MoM เป็นระดับ 4.6% MoM
- ไต้หวัน (น้ำหนักในกองทุนหลัก 16.05% น้ำหนักในดัชนี 13.55%)
แม้เศรษฐกิจได้รับการประมาณการณ์ว่าจะเติบโต 1.5% ในไตรแรกของปี ค.ศ. 2020 เทียบกับไตรมาสสี่ของปีก่อนที่ 3.3% การส่งออกสินค้าและบริการลดลง -2.9% ในไตรมาสแรกของปีเช่นกันนับเป็นการหดตัวที่มากที่สุดในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่ไตรมาสสองของปี ค.ศ. 2016 แต่อุตสาหกรรมการผลิตซิลิคอนชิปรายใหญ่ที่สุดในโลกอย่างบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Co.กลับประกาศลงทุนเพิ่ม 12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสร้างโรงงานในรัฐแอริโซนา สหรัฐฯ โดยจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในปี ค.ศ. 2024 ตอบรับแนวคิดของทีมบริหารทรัมป์ที่ต้องการลดการพึ่งพาไมโครอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนเทคโนโลยีสำคัญจากจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ในภูมิภาคเอเชีย
อย่างที่ผู้เขียนได้เคยเรียนไว้กับผู้ถือหน่วยว่าไต้หวันเป็นประเทศที่มีฐานะอยู่ตรงกลาง ซึ่งไม่ว่าสหรัฐฯ และจีนจะมีข้อพิพาททางการค้าหรือมีการจำกัดการถ่ายโอนเทคโนโลยีด้านใด บริษัทเทคโนโลยีของไต้หวันยังเป็นทางเลือกของสองชาติอยู่ดีในแง่ห่วงโซ่อุปทาน บริษัทหัวเว่ยยังคงใช้ซัพพลายเออร์จากชิปที่ผลิตขึ้นในไต้หวันจากทั้งบริษัท TSMC และบริษัท Media Tek ซึ่งกองทุนหลักถือครองหุ้นทั้งสองบริษัทนี้
การที่กองทุนหลักให้น้ำหนักลงทุนกับทั้งสองบริษัทนี้ไม่ใช่เพียงเพราะบริษัทเทคโนโลยีของไต้หวันอยู่ในฐานะที่ดีระหว่างความขัดแย้งของสองชาติมหาอำนาจสหรัฐฯและจีนเท่านั้นแต่ยังเป็นเพราะว่าเป็นบริษัทที่มีความสามารถในเชิงแข่งขัน มีราคาหุ้นเทรดอยู่ในระดับเหมาะสม งบการเงินแข็งแกร่ง มีเงินสดจำนวนมากพอไว้จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น หรือไว้ซื้อกิจการ นอกจากนี้วัฏจักรเซมิคอนดักเตอร์สองสามปีที่ผ่านมาได้ผ่านจุดต่ำสุดและฟื้นตัวในปีนี้
- อินเดีย (น้ำหนักในกองทุนหลัก 11.20% น้ำหนักในดัชนี 8.53%)
กองทุนหลักมองหุ้นในกลุ่มเฮลธ์แคร์และกลุ่มวิศวกรรมน่าสนใจ เฮลธ์แคร์อินเดียน่าสนใจตรงที่โครงสร้างระบบสาธารณสุขของประเทศที่ยังขาดแคลนและมีไม่เพียงพอจึงเป็นกลุ่มที่รอการเติบโตระดับสูง คนอินเดียยังมีอัตราการทำประกันสุขภาพในระดับที่ต่ำ จึงเป็นโอกาสของธุรกิจผู้ให้บริการทางด้านสุขภาพ กลุ่มวิศวกรรมเกิดจากการที่ส่วนอุตสาหกรรมมีการเติบโตระดับคงเส้นคงวาจากแผนลงทุนภาครัฐมูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯระยะเวลา 5 ปี หุ้นที่กองทุนหลักเลือกลงทุนมีระดับราคาเทียบมูลค่าทางบัญชีต่ำสุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014
จุดเด่นกองทุนหลัก Invesco Asian Equity Fund
ถือครองบริษัทเทคโนโลยีเอเชียอย่างมีนัย อินเทอร์เน็ต อี-คอมเมิร์ซ ซึ่งมีนวัตกรรม เช่น บริษัท Netease บริษัท Alibaba บริษัท JD.com ซึ่งถือครองธุรกิจขนส่งทำให้ในช่วง Work from Home ที่มีการส่งมอบสินค้าบริษัทเจดี ดอทคอม ควบคุมโมเดลการขนส่งด้วยตนเองสามารถบริหารการส่งสินค้าได้ดี อีกทั้งถือครองบริษัทซึ่งงบการเงินแข็งแกร่งมาก เพราะพอร์ตถือครองบริษัทซึ่งมีเงินสดสุทธิสูงถึง 63% ของพอร์ตจึงค่อนข้างปลอดภัยจากปัจจัยเสี่ยงภายนอก
กล่าว่คือมีอัตราการเติบโตดี มีความสามารถในการแข่งขัน มีเงินสดมากพอที่พร้อมจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นหรือซื้อกิจการ มีความสามารถในการทำกำไรได้ดี เพียงแต่ซื้อขายในราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ยังถือครองหุ้นที่มีระดับมูลค่าต่ำกว่าดัชนี แต่สร้างกระแสเงินสดได้สูงกว่า
กราฟ: แสดงสัดส่วนของพอร์ตกองทุนหลักซึ่งลงทุนในบริษัทซึ่งมีฐานะทางการเงินดีกว่าดัชนี
ตาราง: แสดงระดับมูลค่า Valuation ของกองทุนหลักเทียบดัชนี MSCI Asia ex Japan, ดัชนี MSCI World, ดัชนี S&P 500
กราฟ: แสดงระดับมูลค่า P/B, ROE และ Forward P/E ของดัชนี MSCI Asia ex Japan
กองทุนหลัก (Master Fund)
ชื่อ: Invesco Asian Equity Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class C (AD) USD
นโยบายการลงทุน: เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศของภูมิภาคเอเชียไม่น้อยกว่า 70% ที่มีลักษณะดังนี้ (1) บริษัทหรือนิติบุคคลอื่นใดที่จดทะเบียนในประเทศภูมิภาคเอเชีย หรือ (2) บริษัทหรือนิติบุคคลอื่นใดที่จดทะเบียนในประเทศที่อยู่นอกภูมิภาคเอเชียแต่ดำเนินธุรกิจหลักในประเทศภูมิภาคเอเชีย หรือ (3) บริษัทโฮลดิ้งที่มีการลงทุนหลักในบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้การลงทุนในแถบภูมิภาคเอเชีย ไม่รวมถึงประเทศญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
วันจดทะเบียน: 10 ก.ย. 2018 (สำหรับ Share Class ใหม่)
ประเทศที่จดทะเบียน: ลักเซมเบิร์ก
สกุลเงิน: USD
เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (ดัชนีชี้วัด): MSCI AC Asia (ex Japan) Index net TR USD
Morningstar Category: Asia ex Japan Equity
Morningstar Rating: 3 Stars
Bloomberg: IVASCAD LX
Fund Size: USD 669.5 Million (ข้อมูล ณ 30 เม.ย. 2020) เทียบกับ USD 1.02 Billion (ข้อมูล ณ 31 ธ.ค. 2019)
ผลการดำเนินงานกองทุนย้อนหลัง ข้อมูลสิ้นเดือนเม.ย. 2020