โดย…เสกสรร โตวิวัฒน์ CFP^®

ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน

BF Knowledge Center

กองทุนบัวหลวงออกกองทุนใหม่ กองทุนผสมบัวหลวง 70/30 เพื่อการออม หรือ BM70SSF โดยกองทุนนี้ ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) พิเศษ ได้ และใช้สิทธิพิเศษจากการลงทุนใน SSF สิทธิปกติ ได้เช่นกัน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนได้นาน 10 ปีขึ้นไป รับความเสี่ยงได้ในระดับลงทุนในหุ้น 70% ของเงินลงทุน และกองทุนมีนโยบายจ่ายปันผล

สำหรับการลงทุนใน SSF เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีนั้น เงื่อนไขก็คือต้องลงทุน 10 ปีเต็ม ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่สามารถลงทุนนาน 10 ปี ได้ แต่บางคนอาจจะรู้สึกว่า ระยะเวลา 10 ปีนั้นนาน หากลงทุนไปแล้ว ในช่วงท้ายๆ ของการลงทุนอาจเป็นเวลาที่ใกล้เกษียณแล้ว หรืออยากลงทุนแต่ไม่อยากรับความเสี่ยงมากๆ ดังนั้น นอกจากออกกองทุน SSF ที่ลงทุนในหุ้นจริงๆ จังๆ แล้ว กองทุนบัวหลวงจึงออกกองทุน SSF กองนี้เป็นกองที่ 2 เป็นลักษณะ 70/30 พูดง่ายๆ ก็คือ ในสัดส่วนเงิน 100% ก็จะนำไปลงทุนในหุ้นเฉลี่ยไม่เกิน 65-70% ส่วนที่เหลือประมาณ 30% ก็ไปลงทุนในตราสารหนี้หรืออื่นๆ ซึ่งก็ทำให้ความเสี่ยงของการลงทุนในกองทุนนี้ลดลงเมื่อเทียบกับกองทุน SSF ที่ลงทุนในหุ้นไทยกองแรกที่ออกมา

ถ้าใครยังจำกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ของกองทุนบัวหลวงได้ เวลานั้นเรามีกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว (B-LTF) กับกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว 75/25 (BLTF75)ซึ่งก็คล้ายๆ กันกับ SSF ที่มีทั้งกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นไทยเพื่อการออม (BEQSSF) และกองทุนผสมบัวหลวง 70/30 เพื่อการออม (BM70SSF)แต่สิ่งที่ต่างกันคือกองทุนลงทุนในหุ้นไทยไม่เกิน 70% และที่สำคัญคือมีนโยบายการจ่ายปันผลด้วย เนื่องจากผู้ลงทุนกลุ่มที่ไม่ต้องการเสี่ยงมากนั้น หากมีการรับเงินปันผลระหว่างทางก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจ

การลงทุนของกองทุน BM70SSF นั้น ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก 70% ลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์จดทะเบียนในไทย เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขของการได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี SSF พิเศษ ที่ต้องลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์จดทะเบียนในไทย ไม่น้อยกว่า 65% อีกส่วนหนึ่งลงทุนในตราสารหนี้และอื่นๆ ประมาณ 30% ด้วยเหตุนี้จึงต้องเรียกชื่อกองทุนนี้ว่าเป็นกองทุนผสม เพราะนิยามของกองทุนหุ้นตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็คือ ต้องลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์จดทะเบียน โดยเฉลี่ย 80% ขึ้นไป

ดังนั้นเมื่อสัดส่วนการลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์จดทะเบียนในไทยของกองทุนนี้ไม่ถึง 80% จึงเข้าข่ายเป็นกองทุนผสม แต่ก็ยังเข้าข่ายของกองทุนที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนทางภาษี ในแบบที่เป็น SSF พิเศษ ได้ ส่วนการลงทุนหลังจากวันที่ 1 ก.ค. 2563 เป็นต้นไป จะถือเป็นการลงทุนใน SSF ปกติ ที่เข้าเงื่อนไขว่า ต้องลงทุนสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และไม่รวมกับเงินออมเพื่อเกษียณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เบี้ยประกันบำนาญ เป็นต้น จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท

สำหรับผู้ลงทุนที่อยากใช้สิทธิ SSF พิเศษ 200,000 บาท รับความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่งแต่ไม่อยากเสี่ยงมากนัก กองทุน BM70SSF นี้ ก็จะเป็นทางเลือก อย่าลืมว่าหากต้องการรับสิทธิลดหย่อนภาษีนี้ต้องลงทุนภายใน มิ.ย. 2563 นี้ เท่านั้น

ทั้งนี้ ผู้ที่สามารถลงทุนในกองทุน BM70SSF ได้ อันดับแรกต้องเป็นผู้ลงทุนบุคคลธรรมดา ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ถ้าอยากลงทุน แต่ไม่ได้ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีขอแนะนำให้ไปลงทุนผ่านกองทุนรวมทั่วไปแทน เพราะกองทุนลดหย่อนภาษีจะมีประเด็นผูกพันเรื่องภาษีเวลามีกำไร

อันดับต่อมา ต้องเป็นบุคคลที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้ เพราะถึงแม้กองทุนนี้จะลงทุนในหุ้นสัดส่วนที่น้อยกว่า BEQSSF แต่ก็ลงทุนในหุ้น 65-70% จึงต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้ เพราะยังมีความเสี่ยงจากการความผันผวนของหุ้นระดับหนึ่ง

ในส่วนของแนวทางการลงทุนของ BM70SSF นั้น กองทุนนี้ไม่กำหนดประเภทหุ้นที่ลงทุนเฉพาะ แต่เป็นกองทุนที่ผู้จัดการกองทุนจะเลือกหุ้นที่เหมาะสมในสถานการณ์นั้นๆ ให้ ซึ่งเวลา 10 ปี ถือว่านานพอควร การเปิดโอกาสให้ ผจก.กองทุนเลือกหุ้นที่เหมาะสมจึงเป็นทางเลือกที่ดี โดยหลักการของกองทุนบัวหลวงนั้น เราใช้กระบวนการลงทุนที่ยึดมาตลอด คือ เน้นหุ้นที่สอดคล้อง ได้ประโยชน์ และปรับตัวไปตามเมกะเทรนด์ ธีมการลงทุน

สำหรับ ผู้ลงทุนสนใจลงทุนผ่านกองทุน SSF และ SSF พิเศษ โดยต้องการเงินปันผลระหว่างทาง กองทุนนี้ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยกองทุนบัวหลวง เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) กองทุนผสมบัวหลวง 70/30 เพื่อการออม หรือ BM70SSF ระหว่างวันที่ 27 พ.ค. – 2 มิ.ย. 2563 นี้ ด้วยราคาหน่วยลงทุนละ 10 บาท มูลค่าการจองซื้อขั้นต่ำเพียง 500 บาท