หุ้นจีนยังน่าลงทุนไหม?

หุ้นจีนยังน่าลงทุนไหม?

โดย…พริ้มพัชร จิรบวรพงศา, AFPTTM

จากสถานการณ์ปัจจุบัน อาจทำให้นักลงทุนหลายคนกังวลใจเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นจีน เพราะราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาหลังไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ เรียกได้ว่าใครที่ลงทุนไปในช่วงที่ราคาของหุ้นจีนหลายๆ ตัวได้ปรับตัวขึ้นไปสูงสุด  ในช่วงปลายปีที่แล้วจนถึงช่วงไตรมาสที่ 1 ถ้าถือครองมาจนถึงทุกวันนี้
ก็น่าจะขาดทุนไปราวๆ 10 – 20% ซึ่งสาเหตุของการที่ราคาหุ้นจีนปรับตัวลดลง  ก็มีที่มาที่ไปอยู่หลายปัจจัย

ไม่ว่าจะเป็นการที่นักลงทุนบางส่วนได้ทยอยขายคืนหุ้นจีนออกไป เพราะในช่วงที่ผ่านมาราคาของหุ้นจีนโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี  ได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น  เมื่อนักลงทุนส่วนหนึ่งได้กำไรไปจนพอใจแล้ว ก็ทำการขายคืนหุ้นจีนออกไปเป็นธรรมดา

แต่อีกหนึ่งปัจจัยหลักที่สำคัญ  นั่นก็คือ การที่รัฐบาลจีนเข้ามาควบคุม และบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง  และมีความพยายามที่จะป้องกันการผูกขาดทางการค้า ดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ซึ่งก่อนหน้านี้ รัฐบาลจีนปล่อยอิสระมากๆ เพราะต้องการให้เกิดการพัฒนาและความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ราคาหุ้นจีนกลุ่มเทคโนโลยีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มาถึงจุดหนึ่ง  รัฐบาลจีนก็เลือกที่จะเข้ามาควบคุมเพราะต้องการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของรัฐบาล  เศรษฐกิจ  และชาติ   ซึ่งสำหรับจีนแล้วคือ “เรื่องเดียวกัน”

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยคือ การที่รัฐบาลจีนลงดาบบริษัทเทคโนโลยีหลายๆ แห่ง ไม่ว่าจะเป็น Ant Financial,  Meituan, DiDi Chuxing หรืออย่าง Alibaba  ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) เป็นอันดับ 1 ในจีน ล่าสุดโดนปรับไปประมาณ 1 แสนล้านบาท ข้อหาผูกขาดทางธุรกิจ รวมถึงมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยในการจัดเก็บข้อมูล และสิทธิข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายนี้ เป็นการแสดงให้บริษัทเอกชนของจีนเห็นว่า รัฐบาลจีนเอาจริงในการควบคุมดูแล

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนไม่ได้ต้องการที่จะปิดกั้นการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยี  ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลจีนคาดหวังที่จะให้บริษัทเทคโนโลยีของจีนเติบโตแซงหน้าสหรัฐอเมริกาให้ได้ด้วยซ้ำ แต่ทั้งนี้ ต้องเป็นการเติบโตภายใต้กฎเกณฑ์ที่รัฐบาลจีนสามารถดูแลได้ ซึ่งรัฐบาลจีนเชื่อว่า จะสามารถสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจจีนได้ในระยะยาว เพราะถ้าให้เลือกระหว่างการเติบโตไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดด กับก้าวไปข้างหน้าอย่างมีเสถียรภาพ    แน่นอนว่าจีนเลือกที่จะเป็นอย่างหลังมากกว่า

ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นจีน หรือกองทุนรวมหุ้นจีน อาจจะต้องมองจีนแบบจีนจริงๆ และเน้นลงทุนระยะยาว ซึ่งระยะยาวที่ว่า  อย่างน้อยๆ ก็น่าจะประมาณ  5 – 10 ปี โดยจะมีเรื่องของเทรนด์เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งสอดคล้องไปกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 ของจีนที่กำหนดธีมไว้ว่า  จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีนด้วยพลังงานสะอาด (Clean Energy) โดยเชื่อว่าภายใน 10 ปีนี้ นักลงทุนจะเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นแล้ว เพราะปัจจุบันรัฐบาลจีนได้พยายามที่จะยกระดับ  3  ส่วน  ได้แก่  อุตสาหกรรมการผลิต   การบริโภค  และพัฒนาผลิตภัณฑ์

ในส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตก็เน้นการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชิป (Semiconductor Chips) ไว้ใช้เอง ซึ่งในมุมหนึ่งก็เพื่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยีด้วย  เพราะถ้าสามารถผลิตได้เอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร  (ควบคุม Supply Chain ได้ด้วยตัวเอง) ในส่วนของการการบริโภค ได้เน้นพัฒนาสินค้าให้มีความพรีเมียมมากยิ่งขึ้น ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่ในจีนที่มีจำนวนมหาศาล และสุดท้ายก็คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) มากขึ้น รวมถึงพยายามปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมให้เป็นระบบอัตโนมัติ (Automation)  มากขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมปัญหาที่อาจจะเกิดการขาดแคลนแรงงานผลิตในอนาคต

ถ้าพิจารณาตามข้างต้นนี้ นักลงทุนจะเห็นได้ว่า ในระยะยาวจีนยังมีอนาคตที่สดใส ดังนั้น สำหรับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบต่อราคาหุ้นจีนในปัจจุบัน โดยส่วนตัวมองว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนในการที่จะได้สะสมหุ้นจีนในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป แต่ทั้งนี้  การลงทุนในหุ้นจีน เหมาะสมสำหรับพอร์ตการลงทุนระยะยาวมากกว่า  5  ปีขึ้นไป  และเนื่องจากเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทหุ้น ผู้ลงทุนควรรับความเสี่ยงได้ในระดับสูง  ทนต่อความผันผวนขึ้นได้-ลงได้  และเข้าใจการลงทุนแบบจีนๆ โดยกองทุนบัวหลวงมีกองทุนหุ้นจีนให้เลือกลงทุนถึง  3  กองทุน  ทั้งกองทุนเปิดทั่วไป  และกองทุนลดหย่อนภาษี SSF และ RMF   โดยแบ่งเป็น  2  สไตล์การลงทุน

สไตล์แรกเน้นลงทุนในหุ้นจีนได้ใน “ทุกตลาด”  โดยกองทุนบัวหลวงมอบหมายให้ Allianz Global Investor Asia Pacific Limited เป็น Outsource Fund Manager  ปัจจุบันนำส่งเงินลงทุนไปยัง  2  กองทุน  ได้แก่  Allianz China A-Share และ Allianz All China Equity นอกจากนี้  ผู้จัดการกองทุนของบัวหลวง ยังคัดเลือกหุ้นรายตัวเพื่อลงทุนได้เองด้วย โดยการลงทุนสไตล์นี้จัดทำขึ้นมา  2  กองทุนคือ กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) และกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีนเพื่อการออม (B-CHINESSF) ซึ่งมีนโยบายจ่ายเงินปันผลทั้ง 2 กองทุน

อีกหนึ่งสไตล์การลงทุนคือ  กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีนเอแชร์เพื่อการเลี้ยงชีพ (B-CHINAARMF)  เน้นลงทุนใน  Allianz China A-Share  ซึ่งเป็นการเน้นลงทุนในตลาด “A-Share  เซี่ยงไฮ้-เซินเจิ้น”  โดยตลาด A-Share ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ  2  รองจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ  และปัจจุบันเริ่มมีความสัมพันธ์กับดัชนีตลาดหุ้นหลัก  ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น ฯลฯ ต่ำลง จึงเหมาะกับพอร์ตการลงทุนระยะยาว  และสามารถใช้เป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง

ตัวอย่างหุ้นที่น่าสนใจที่มีอยู่ในกองทุนหุ้นจีนทั้ง 3  กองทุน  ได้แก่ หุ้นของบริษัทแบตเตอรี่ไฟฟ้า ที่ใช้เป็นชิ้นส่วนในรถยนต์ไฟฟ้า EV โดยมีชื่อย่อในตลาดหุ้นจีนว่า CATL ซึ่งมีแต่ลูกค้ารายใหญ่ทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็น  BMW, Mercedes-Benz, Volkswagen, Tesla, Toyota และ Honda ดังนั้นจะเห็นได้ว่าโอกาสเติบโตของธุรกิจจีนยังมีอีกมาก  และยังมีอนาคตที่สดใสรออยู่

สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุน ก็อยากจะให้เลือกประเภทของกองทุนรวมให้ตรงตามเป้าหมายว่า  ต้องการลงทุนทั่วไป หรือต้องการลงทุนระยะยาว
เพื่อลดหย่อนภาษี ถ้าต้องการลดหย่อนภาษีและลงทุนได้ยาวประมาณ 10  ปี ก็เลือกลงทุนใน  SSF  หรือถ้าเป็นการลงทุนเพื่อการเกษียณก็เลือกลงทุนใน RMF โดยการลงทุนในช่วงนี้ยังมีความผันผวนอยู่บ้าง จึงแนะนำให้ผู้ลงทุนทยอยลงทุน และอย่าลืม!  ตรวจสอบสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศของตัวเองด้วยว่า  เน้นหุ้นต่างประเทศมากไปไหม?  น้ำหนักในการลงทุนเอียงไปจีน หรือสหรัฐฯ มากไปหรือเปล่า?   เพื่อให้พอร์ตลงทุนของเรามีการกระจายสัดส่วนการลงทุนได้อย่างเหมาะสม