INVESTMENT STRATEGY
นักลงทุนต้องทำเวลานี้คือ อดทนและพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส มองให้ขาดว่ากลุ่มไหนจะเป็นผู้นำขาขึ้นในครั้งต่อไป ซึ่ง BBLAM มองกลุ่ม ABCEV เป็นกลุ่มที่น่าจับตา
BBLAM Weekly Investment Insights ฉบับนี้ เราจะชวนทุกคนมามองหาแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์กันว่า อีกนานแค่ไหนกว่าตลาดกระทิงจะกลับมา และใครจะเป็นผู้นำของกระทิงยุคหน้า โดย คุณพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา CEO ของ BBLAM บอกไว้ว่า วงจรตลาดหุ้นมีขาขึ้นและขาลง เจอกับตลาดกระทิงได้ ก็เจอกับตลาดหมีได้ ส่วนตลาดหมีจะอยู่นานแค่ไหน เวลานี้ขึ้นอยู่กับ Policy Policy Policy
- Policy แรก คือ นโยบายธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
- Policy ต่อมา คือ นโยบายของจีน
- Policy สุดท้าย คือ นโยบายด้านการต่างประเทศของยุโรปเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน
อย่างไรก็ดี ในภาวะตลาดหมี ไม่ได้มีข้อเสียไปหมด เพราะโอกาสก็มีเช่นกัน ถ้าเราสามารถเลือกของถูกที่ยังมีอนาคตได้ และถ้าดูผลตอบแทนระยะยาว ตลาดหุ้นก็ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง เพียงแค่ระหว่างทางอาจมีความเจ็บปวดบ้าง แต่ถ้าอดทนก็จะผ่านไปได้ “กองทุนไม่ใช่ไข่ไก่ที่ตกลงมาแล้วแตก แต่เป็นเหมือนลูกเทนนิสที่ตกลงมาก็เด้งขึ้นไปได้”
ขณะที่ คุณมทินา วัชรวราทร CFA® Head of Investment Strategy จาก BBLAM กล่าวเสริมว่า ในเวลานี้ ดัชนีหรือกลุ่มหุ้นที่เคยเป็นผู้นำตลาดขาขึ้น กำลังกลายเป็นผู้นำตลาดขาลงเช่นกัน นั่นก็คือ หุ้นจีนที่เคยเป็นผู้ชนะในปี 2020 และกลุ่มเทคโนโลยี ที่เป็นสุดยอดผู้ชนะ 2 ปีรวด ในช่วงปี 2020- 2021 ซึ่งเราต้องไม่ลืมว่า หุ้นจีนเคยให้ผลตอบแทนนักลงทุนไปถึง 70% ในปี 2020 ส่วนหุ้นเทคโนโลยีก็ให้ผลตอบแทนไป 140% ในปี 2021 ซึ่งตามธรรมชาติแล้วก็ไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนจะขายทำกำไรออกมาเพื่อนำกำไรกลับเข้ากระเป๋าไปก่อน
เมื่อผู้นำขาขึ้นกลายเป็นผู้นำขาลง ตลาดที่เคยเป็นภาวะกระทิง จึงเปลี่ยนเป็นตลาดหมี แต่คุณมทินา ระบุว่า โดยปกติแล้วตลาดหมีจะมีอายุเพียง 11 เดือน ซึ่งสั้นกว่ามาก ถ้าเทียบกับภาวะตลาดกระทิง ที่มักจะอยู่ยาวนานถึง 30 เดือน และถ้าใครเคยผ่านช่วงปี 2008 ที่มีวิกฤติการเงินมาแล้ว ก็คงจะเห็นภาพดีว่า ถ้าเราอดทน เมื่อผ่านพ้นวิกฤติ ฟ้าหลังฝนย่อมงดงามกว่าเสมอ โดยจากข้อมูลพบว่า ในช่วงตลาดหมี ผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนีอยู่ที่ -26% แต่ในภาวะตลาดกระทิง ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 110%
ทั้งนี้ ในวันที่ตลาดหมีมา นักลงทุนกลุ่มหนึ่งมักจะเดินออกจากตลาดไป แต่ก็จะเริ่มมีนักลงทุนอีกกลุ่มหันกลับมาถามหาหุ้นที่ปรับลดลงมามาก และยังเป็นอนาคตของโลกได้ โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ลงทุนได้เกิน 5 ปี จังหวะเวลานี้ น่าจะเป็นช่วงการลงทุนที่ดีที่สุดที่เคยเห็นมา หากหาผู้นำตลาดกระทิงรายต่อไปเจอ
เมื่อลองดูว่าหุ้นในธีมไหนที่มีโอกาสจะขึ้นเป็นผู้นำภาวะกระทิงในระยะต่อไปได้ ก็พบว่าเวลาที่เกิดภาวะกระทิงรอบใหม่ อุตสาหกรรมผู้นำจะเปลี่ยนไป ไม่ใช่ผู้นำรายเดิม ซึ่ง BBLAM มองว่า กลุ่มที่มีความเป็นไปได้ว่าจะมีโอกาสเป็นผู้นำขาขึ้นรอบต่อไป น่าจะอยู่ในธีม ‘ABCEV’ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจสอดคล้องกับเทรนด์โลกอนาคต คือ
- A – AI (ปัญญาประดิษฐ์), Automation (ระบบอัตโนมัติ)
- B – Big data (การใช้ข้อมูลขนาดใหญ่)
- C – Cybersecurity (ความปลอดภัยทางไซเบอร์)
- E – EV (รถยนต์ไฟฟ้า) และ ESG (ธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล)
- V – Virtual (เทคโนโลยีความจริงเสมือน)
นอกจากนี้ก็ยังมีอีก 2 กลุ่มที่น่าสนใจเพราะราคาปรับลดลงมามากจนน่าสนใจ คือ Biotech หรือเทคโนโลยีชีวภาพ ที่ราคาลดลงมากว่า 50% และหุ้นจีนที่ ดัชนีบางตลาดปรับลงมาประมาณ 30% แล้ว
คุณมทินา มองว่า หากนักลงทุนต้องการลงทุนไปกับธีมที่มีโอกาสเป็นผู้นำตลาดกระทิงรอบต่อไป BBLAM แนะนำว่า การจับจังหวะตลาดหาช่วงเวลาที่หุ้นราคาปรับลงไปถึงจุดต่ำสุดน่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะไม่มีใครรู้ว่า ช่วงเวลาที่หุ้นลงต่ำที่สุดจะอยู่ช่วงไหน ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะกับช่วงเวลาแบบนี้ น่าจะเป็นการทำ DCA หรือทยอยลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วยเงินเท่าๆ กันทุกเดือน ในธีมที่น่าสนใจ และหากยังเป็นคนทำงานที่ต้องเสียภาษีเงินได้ การลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ช่วงเวลานี้ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี
สำหรับกองทุนที่ BBLAM แนะนำ ให้มีในพอร์ตไว้ในเวลานี้ ได้แก่
- B-GLOB-INFRA เป็นกองทุนที่เพิ่มเข้าไปในพอร์ตเพื่อใช้ในการปกป้องเงินเฟ้อได้
- B-INNOTECH, B-INNOTECHRMF และ B-INNOTECHSSF ซึ่งมีหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ คุณภาพดี ที่ผู้จัดการกองทุนใส่ใจเรื่องการประเมินมูลค่าหุ้นมาก เน้นหุ้นคุณค่าผสมหุ้นเติบโต
- B-SIP, B-SIPRMF และ B-SIPSSF ซึ่งลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด กับเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังพลังงานสะอาด
- B-CHINE-EQ, B-CHINAARMF และ B-CHINESSF เนื่องจากหุ้นจีนลงมาตั้งแต่ปี 2021 เข้าสู่ตลาดหมีไปก่อนใครแล้ว ดังนั้นก็น่าจะออกจากตลาดหมีได้ก่อนตลาดอื่น ซึ่งในเวลานี้ ถึงแม้จีนจะใช้นโยบาย zero Covid Policy กระทบเศรษฐกิจ ส่วนกำไรของบริษัทจดทะเบียน อาจถูกปรับประมาณการลงต่อ เพราะเศรษฐกิจชะลอตัวมาก และ ยังมีความเสี่ยงจากภาคอสังหาริมทรัพย์อยู่ แต่รัฐบาลจีนก็ได้มีการลดดอกเบี้ยกู้ยืมบ้าน LPR ระยะ 5 ปีแล้ว เพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริรมทรัพย์ รวมถึงมีนโยบายผ่อนคลายสนับสนุนเศรษฐกิจมากขึ้นแล้ว
อ่าน BBLAM Weekly Investment Insights 30 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน 2022 ฉบับเต็มได้ที่ https://www.bblam.co.th/bualuang-insights/bblam-investment-insights/30-3-2565