โดย พริ้มพัชร จิรบวรพงศา, AFPTTM
ปัจจุบัน นักลงทุนน่าจะกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) อยู่ไม่น้อยเลย หลังจากที่สถาบันการเงินใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Morgan Stanley, Goldman Sachs, JP Morgan หรือ Bank of America ต่างพากันบอกว่า โลกมีโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ค่อนข้างสูง เพราะหลังจากที่เกิดสถานการณ์โควิดต่อเนื่องมายาวนาน ทำให้หลายๆ ประเทศ รวมถึงไทยเราเองไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เหมือนเคย ประกอบกับการปรับขึ้นราคาของสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมัน และก๊าซทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ส่งผลต่อเนื่องไปยังราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคอย่างเราๆ ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายไปเต็มๆ
นอกจากนี้ ในด้านการลงทุน ซึ่งก่อนหน้านี้ค่อนข้างที่จะเติบโตได้ดีจากหุ้นกลุ่มเทคและนวัตกรรม รวมถึงหุ้นที่เน้นการบริโภคของยักษ์ใหญ่อย่างจีน ก็ได้ชะลอการเติบโตอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ จากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและการติดขัดจากนโยบายป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดอย่างเช่น Zero Covid ของจีน โดยปัจจัยหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นมาพร้อมกันนี้ ทำให้นักลงทุนมีคำถามว่า “เราควรลงทุนต่อไปดีไหม?” หรือขายคืนออกมาเพื่อถือเงินสดดีกว่า
คำแนะนำคือ ขอให้เราพิจารณาพอร์ตการลงทุนในปัจจุบันก่อนว่าเป็นอย่างไร? เพราะเชื่อว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ที่มีคำถามนี้ น่าจะมีการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือหุ้นจีน ซึ่งก่อนหน้านี้ให้ผลตอบแทนที่ดีมาก แต่ตอนนี้ผลตอบแทนรวมอาจจะไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ โดยกลยุทธ์ที่อยากแนะนำให้ใช้ในช่วงนี้คือ Wait and See ก็คือ ต้องดูทั้งภาพรวมของตลาดลงทุน และภาพรวมของพอร์ตลงทุนเรา ปรับสัดส่วนให้เหมาะสมตามที่เราต้องการและถ้าพอมีเงินลงทุนก็อยากให้ลงทุนต่อเนื่องด้วยการทยอยเข้าซื้อ เพื่อเป็นการถัวเฉลี่ยต้นทุนราคาให้ต่ำลง เพราะต้องบอกเลยว่าในช่วงที่ก้ำกึ่งว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือเปล่า? โดยทั่วไปแล้วมักจะส่งผลต่ออารมณ์ของนักลงทุนทำให้เกิดแรงขาย ทั้งที่จริงๆ แล้วตลาดลงทุนไม่ได้แย่ขนาดนั้น จะว่าไปแล้ว ในตอนนี้น่าจะเป็นการขายที่เกิดจากความวิตกกังวล (Panic) มากกว่าการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) จริงๆ จึงนับว่าเป็นอีกโอกาสหนึ่งในการทยอยลงทุน
สำหรับการลงทุนในช่วงนี้ สิ่งหนึ่งที่ควรทำคือ ติดตามข่าวสารการลงทุนให้มากขึ้น เพราะในภาวะที่ยังไม่มีอะไรที่ชัดเจน ตลาดลงทุนค่อนข้างที่จะอ่อนไหว (Sensitive) และมีความผันผวน ดังนั้น นักลงทุนวัยทำงานอย่างเรา น่าจะไม่ค่อยมีเวลาในการติดตามข่าวสารการลงทุนอย่างใกล้ชิด ในส่วนของการลงทุนจึงอยากแนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวม เพราะมีผู้จัดการมืออาชีพคอยช่วยบริหารจัดการให้ โดยกองทุนรวมที่มีความน่าสนใจสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนสอดคล้องไปกับโอกาสในปัจจุบันอย่าง “กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นโกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ (B-GLOB-INFRA)” ที่เน้นลงทุนในหุ้นโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น เสาไฟฟ้า ท่อก๊าซ สนามบิน ทางด่วน ฯลฯ ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้สามารถเติบโตได้ในทุกสถานการณ์ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องใช้งานอยู่เสมอ และยังสามารถปรับเพิ่มค่าบริการได้ตามระดับเงินเฟ้ออีกด้วย
กองทุนอีกกลุ่มที่น่าสนใจและอยากจะให้นักลงทุนทุกคนไปต่อพร้อมๆ กัน นั่นคือ กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนเติบโตตามเทรนด์โลกโดยเน้นไปที่การลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงหุ้นที่เน้นการบริโภคของจีน ซึ่งน่าจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้งหลังจากที่สถานการณ์ต่างๆ คลี่คลาย จึงเหมาะที่จะใช้โอกาสนี้ในการเก็บสะสมลงทุนไม่ว่าจะเป็นกองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี (B-INNOTECH) ที่มีให้เลือกทั้งกองทุนเปิดทั่วไปและกองทุนลดหย่อนภาษี SSF และ RMF และลืมไม่ได้เลยกับกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้จะดูติดๆ ขัดๆ อยู่บ้างจากนโยบาย Zero-Covid แต่ในภาพรวมก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นมาก จากปัจจัยบวกทางภาครัฐที่ลดการกดดันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงการสนับสนุนนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตแบบไม่นานเกินรอ จีนน่าจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง