ราคาน้ำมันอาจจะแตะ $80 ปี 2018 นี้
เปิดฉากมาปีใหม่ 2018 ปรากฎว่าราคาน้ำมันขยับขึ้นไปแตะ $60ต่อบาเรลล์ ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2014 แต่นาย Yoon Chou Chong หัวหน้าฝ่ายหุ้นเอเชียของ Natisix Asset Management คาดการว่าราคาน้ำมันอาจจะทะลุไปถึง $80ต่อบาเรลล์ก็ได้ในปี 2018 นี้ โดยที่ปีนี้อาจจะเป็นปีของสินค้าโภคภัณฑ์ก็ได้ ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันสูงในปีนี้คือการที่ประเทศผู้ผลิตน้ำมันมีการจำกัดการผลิต และมีความพยายามที่จะรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันก่อนที่ Saudi Aramco บริษัทรัฐวิสาหกิจของซาอุดิ อาราเบียจะทำไอพีโอ ราคาน้ำมัน ทั้งจากตลาด West Texas และตลาดBrentต่างทำระดับสูงขึ้นถึง $60ต่อบาเรลล์ในช่วงที่ผ่านมา เพราะว่ามีการจำกัดการผลิตโดยกลุ่มโอเปค และมีการประท้วงในประเทศอิหร่าน ครั้งสุดท้ายที่ราคาน้ำมันแตะ$80ต่อบาเรลล์คือในเพือนพฤศจิกายนปี2014 ก่อนที่จะตกลงมาที่ระดับ $30ในเดือนมกราคมปี 2016 จากการความต้องการที่อ่อนตัวลง ค่าเงินดอลล่าร์ที่แข็งค่าขึ้น และสหรัฐมีการผลิตน้ำมัน Shale Oil & Shale Gas เพิ่มขึ้น
บินแล้วสบายใจ
ปี2017การเดินทางทางอากาศปลอดภัยที่สุดในประวัติศาสตร์การบิน รายงานของ To70 บริษัทที่ปรึกษาของดัทช์และ Aviation Safety Networkระบุว่า ไม่มีเหตุร้ายเครื่องบินโดยสารตกเลยในปี2017 แม้ว่าจำนวนเที่ยวบินทั้งโลกจะเพิ่มขึ้นก็ตาม อย่างไรก็ตาม ทาง To70เตือนว่า ถึงแม้ว่าเครื่องบินโดยสารจะมีความเปลอดภัยเพิ่ม แต่อัตราอุบัติเหตุที่ต่ำอย่างผิดปกติให้มองว่าเป็นเรื่องของโชคดีด้วย แม้ว่าจะไม่มีเครื่องบินตกปีที่แล้ว แต่ก็มีอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบินโดยสาร 10 ครั้งมีผลทำให้คนเสียชีวิต 79 คน เทียบกับ อุบัติเหตุ 16 ครั้ง คนตาย 303 คนในปี 2016
ความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ในปี 2018
นักลงทุนระดับโลกมองความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ประกอบในการลงทุน หรือในการเทรดในปี 2018 โดยประเด็นใหญ่ที่ทางซีเอ็นบีซีหยิบยกขึ้นมามีทั้งการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาวที่เกาหลี การแข่งขันฟุตบอล World Cup ที่รัสเซีย ความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐฯ ความคืบหน้าของการเจรจา Brexit การปฏิรูปเศรษฐกิจของจีน การเลือกตั้งมิดเทอมในสหรัฐอเมริกา ทางเกาหลีใต้ได้ประกาศว่าพร้อมเจรจากับเกาหลีเหนือในวันที่ 9 มกราคมเพื่อหารือความเป็นไปได้ที่เกาหลีเหนือจะส่งทัพนักกีฬามาร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิคในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งทางเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพจัด คิมจองอันผู้นำเกาหลีเหนือมาไม้อ่อนสลับไม้แข็งในช่วงปีใหม่ด้วยการขู่สหรัฐฯว่า มีขีปนาวุธที่สามารถยิงถึงอเมริกา แต่พร้อมเจรจาหาลู่ทางสันติกับเกาหลีใต้ และพร้อมกับส่งทัพนักกีฬาเกาหลีเหนือไปร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาวที่เกาหลีใต้ David Roche นักยุทธศาสตร์แห่ง Independent Strategy บอกว่า ขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐฯจะยอมรับความเป็นมหาอำนาจทางนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือหรือไม่ ถ้า สหรัฐฯบุกเกาหลีเหนือเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์. แสดงว่าจีนไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับเกาหลีเหนือ และสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯและจีนจะตามมา รัสเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดฟุตบอลโลก World Cupในเดือนสิงหาคม แต่ยังไม่แน่ว่าจะจัดงานได้อย่างราบรื่นหรือไม่ หรือจะถูกบอยคอทหรือไม่ เพราะว่าทั้งยุโรปและสหรัฐฯยังคงมีมาตรการแซงชั่นรัสเซียอยู่จากกรณีวิกฤติยูเครน นอกจากนี้ Russiagate ยังคงดำเนินต่อในการเมืองสหรัฐญที่กล่าวหารัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีในช่วงที่ผ่านมา ความคืบหน้าของการเจรจา Brexit คงต้องมีความคืบหน้าชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าอังกฤษเสียเปรียบจะมีผลทำให้สถาบันการเงินหรือบริษัทย้ายสำนักงานออกไปอยู่ในอียู ถ้า Brexit ราบรื่นดี จะไม่มีผลกระทบเศรษฐกิจของอังกฤษมาก จีนอาจจะเจอกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ […]
เศรษฐกิจเอเชียแซงหน้าตะวันตกใน 10 ปี
รายงานของ Centre for Economics and Business Research อยู่ที่กรุงลอนดอนรายงานว่าอินเดียจะแซงหน้าเศรษฐกิจของอังกฤษและฝรั่งเศสในปีหน้า โดยจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 5 ของโลกในรูปตัวเงินดอลลาร์ อินเดีย ซึ่งขณะนี้มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 7% ต่อปีจะขยับฐานะสูงขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกในปี 2027 โดยจะแซงหน้าเยอรมัน ในปี 2032 ทาง Centre for Economics and Business Research ประเมินว่า 3 ใน 4 เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะอยู่ในเอเชีย คือจีน อินเดียและญี่ปุ่น เมื่อถึงเวลานั้น จีนจะแซงหน้าสหรัฐฯกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แต่อินเดียจะไม่หยุดเพียงนั้น คาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจอินเดียจะแซงหน้าจีนในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 21 ในขณะเดียวกันในปี 2032 เกาหลีใต้ และอินโดนีเซียจะติดอันดับเศรษฐกิจท็อป 10 ของโลก โดยจะเบียดอิตาลีและแคนาดาตกขอบไป
ผู้ก่อตั้งเงินคริปโต Litecoin เทขายหมดพอร์ต
นายชาร์ลี ลี ผู้ก่อตั้ง Litecoin ได้ขายไลท์คอยน์ของเขาออกหมดพอร์ต หลังจากที่ราคาของไลท์คอยน์พุ่งถึง 75 เท่าในปีนี้ นายลีเป็นวิศวกรซอฟแวร์และอาศัยที่เมืองซานฟรานซิสโกได้พัฒนาไลท์คอยน์ในปี 2011 ซึ่งได้กลายเป็นเงินคริปโตเคอร์เรนซี่ที่ใหญ่อันดับ 5 ของโลก เขาบอกว่า เขาตัดสินใจขายไลท์คอยน์ที่ครอบครองอยู่ทั้งหมด เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะว่าเขาต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการถกเงินคริปโตในโซเซี่ยลมีเดีย ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคา ค่าของเงินคริปโตไลท์คอยน์อยู่ที่ระดับ 319 ดอลลาร์ในการเทรดในวันที่ 21 ธันวาคม โดยมีราคาสูงขึ้นถึง 75 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงปลายปีที่แล้ว มูลค่าตลาดรวมของไลท์คอยน์อยู่ที่ 17,500 ล้านดอลลาร์ นายลีไม่บอกว่าเขาถือไลน์คอยท์เป็นจำนวนเท่าใด ขายไปทั้งหมดได้ราคาเท่าใด เพียงแต่บอกว่าเขายังเหลืออยู่ 2-3 เหรียญเป็นที่ระลึก และเขาจะยังคงทำงานให้กับไลน์คอยน์ต่อไปโดยไม่มีเรื่องของราคามาให้เป็นที่รบกวนใจ
ทรัมป์ยิ้มแย้มกับชัยชนะของแผนลดภาษีครั้งใหญ่
วุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปการจัดเก็บภาษีครั้งใหญ่ในรอบ 30 ปีเมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ชัยชนะทางกฎหมายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ใกล้เป็นจริง แต่เนื้อหาบางส่วนที่ถูกแก้ไขทำให้จำเป็นต้องตีร่างกฎหมายกลับไปให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาซ้ำอีกครั้ง เนื้อหาหลักของแผนลดภาษีครั้งนี้คือการลดภาษีนิติบุคคลจาก 35% เป็น 21% มีการลดภาษีสำหรับบุคคลด้วยลดลั่นกันไป 7 ขั้น คือ ที่ระดับ 10%, 12%, 22%, 24%, 32%, 35% และ 37% โดยลดอัตราภาษีขั้นสูงสุดสู่ระดับ 37% จากระดับ 39.6% รวมทั้งมีเครดิตทางภาษีในการดูแลบุตร ตลาดหุ้นสหรัฐแรลลี่อย่างแรงในช่วงหลังที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ส่วนหนึ่งมาจากแผนลดภาษี เพราะว่าบริษัทจะได้ประโยชน์เต็มๆจากภาษีที่จะจ่ายน้อยลง อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมแล้วคนรวยจะได้ประโยชน์จากการลดภาษีของพรรครีพับรีกันครั้งนี้ ในแง่การคลังแล้วถือว่าเป็นการผิดวินัย เพราะว่าการลดภาษีจะเพิ่มหนี้รัฐ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า ร่างกฎหมายที่ถูกแก้จะโดนตีกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง และเมื่อได้รับไฟเขียวในขั้นสุดท้ายจึงจะส่งไปให้ประธานาธิบดี ทรัมป์ ลงนามประกาศใช้เป็นกฎหมาย พรรคเดโมแครตถือโอกาสวิจารณ์ฝ่ายรีพับลิกันว่าดำเนินการเกี่ยวกับร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีอย่างปกปิดและรีบร้อนเกินเหตุ จนทำให้ร่างกฎหมายถูกตีกลับไปกลับมา […]
ตลาดหุ้นเอเชียยังไปได้ดีในปี 2018
เหลือเวลาอีกประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนจะเข้าสู่ช่วงปีใหม่ ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ตลาดหุ้นเอเชียจะยังคงไปได้ดีในปี 2018 ปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียยังคงเดินหน้าในแดนบวก เพราะว่าเศรษฐกิจโดยรวมของเอเชียมีมีความเข้มแข็ง นอกจากนี้ผลประกอบการของบริษัทจะเป็นตัวขับเคลื่อนกำไรในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซีเอ็นบีซีรายงานว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกแรลลี่ในปี 2017 โดยที่ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกของ MSCI All Country World Index ขึ้นมากกว่า 22% ณ สิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน ส่วนตลาดหุ้นของเอเชีย MSCI All Country Asia Pacific Index ขึ้น 29% ในระยะเวลาเดียวกัน ทั้ง JPMorgan Asset Management, BlackRock และ Value Partners เป็นหนึ่งในบริษัทบริหารเงินที่มีความเห็นในเชิงบวกกับตลาดหุ้นเอเชีย Kelly Chung แห่ง Value Partners มองว่า ทางบริษัทมองตลาดหุ้นเอเชียค่อนข้างดี […]
จาเน็ต เยลเลนขึ้นดอกเบี้ยสั่งลาเก้าอี้ประธานเฟด
ธนาคารกลางของสหรัฐ หรือเฟดขึ้นดอกเบี้ยทิ้งทวนปีนี้เป็นครั้งที่ 3 ในวันพุธที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นับว่าเป็นการขึ้นดอกเบี้ยทิ้งทวนของนางจาเน็ต เยลเลน ประธานเฟดที่จะหมดวาระลง โดยนาย Jerome Powell ซึ่งอยู่ในบอร์ดคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดอยู่แล้วจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดแทนเธอในช่วงต้นปีหน้า ผลของการขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ดอกเบี้ยเฟดขึ้นจาก 1.25% เป็น 1.50% และมีการคาดหมายว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2018 ตามขบวนการที่จะปรับดอกเบี้ยให้กลับคืนสู่สภาพปกติ นอกจากนี้เฟดประกาศว่า จะเพิ่มยอดลดงบดุลจาก 10,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน เป็น 20,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ด้วยการดึงดอลลาร์กลับออกจากระบบ ผ่านการไม่ถือต่ออายุตราสารหนี้ที่เฟดถือผ่านนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเชิงปริมาณที่ทำมาตั้งแต่หลังวิกฤติการเงินปี 2008 เยลเลนบอกว่า เฟดตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย เพราะคาดการว่าตลาดแรงงานจะยังคงแข็งแรงอยู่ โดยจะมีการจ้างงาน และมีโอกาสมากสำหรับคนทำงานอเมริกันจะได้รับค่าแรงงานที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานออกรายงานว่าเงินเฟ้อ ที่ไม่รวมหมวดอาหารและพลังงานอ่อนตัวลงไปที่ 1.7% ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันเฟดคาดการว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นจาก 2.1% ที่คาดหมายก่อนหน้านั้นเป็น 2.5%ในปี 2018 นับว่าเยลเลนลงจากหลังเสือได้สง่างามพอสมควร แม้ว่าจะไม่ได้ต่ออายุเป็นประธานเฟดในสมัยที่ […]
ฟองสบู่บิทคอยท์แซงหน้าทิวลิปมาเนีย
Bridgewater รายงานว่าบิทคอยท์กลายเป็นทรัพย์สินฟองสบู่ลูกใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินโลกไปแล้ว ราคาที่พุ่งสูงขึ้นแบบติดจรวดของบิทคอยท์ได้แซงหน้าฟองสบู่ทิวลิปมาเนียของพวกดัชท์ในศตวรรษที่ 17 ที่มีการเก็งกำไรแฟชั่นดอกทิวลิปอย่างบ้าคลั่ง ราคาของเงินคริปโตบิทคอยท์เพิ่มขึ้น 17 เท่าในปีนี้ และ 64 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยทำราคาเพิ่มมากกว่าการเก็งกำไรดอกทิวลิปในช่วงระยะเวลาที่เท่ากัน ล่าสุดบิทคอยท์มีราคาที่ 17,363 ดอลลาร์ โดยเมื่อต้นปีมีราคาในระดับเพียง 1,000 ดอลลาร์ ฟองสบู่การเงินเกิดขึ้นในช่วงต่างๆของประวัติศาสตร์ ขึ้นชื่อว่าฟองสบู่แล้ว มันต้องแตกสักวันหนึ่ง ฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดก่อนหน้าบิทคอยคือทิวลิปมาเนียที่นักลงทุนเก็งกำไรดอกทิวลิป (1634-1637) ตามมาคือฟองสบู่มิสซิสซิปปี้ (1718-1720) ฟองสบู่เซาท์ซี (1719-1721) ฟองสบู่ดอทคอม (1994-2002) ฟองสบู่ตลาดหุ้นสหรัฐ(2006-2009 ) และฟองสบู่ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (1982-1992) อย่างไรก็ดี นาย Mike Novogratz ผู้เชี่ยวชาญด้านเงินคริปโตบอกว่า บิทคอยท์สามารถไปถึงระดับราคา 40,000 ดอลลาร์ในปี 2018 อย่างง่ายๆ ส่วนอีเธอเรียม ซึ่งเป็นเงินคริปโตอีกชนิดหนึ่งได้ทำราคาแตะ 500 ดอลลาร์ไปแล้ว และจะมีราคาเพิ่มเป็น […]
ดูแตร์เต ส่งเทียบเชิญบริษัทเทเลคอมจีนเข้าลงทุนในฟิลิปปินส์ เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ต้องยอมรับว่า โรดรีโก โรอา ดูแตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เล่นการเมืองเป็นจริงๆ โดยล่าสุดได้เชิญให้บริษัทโทรคมนาคมของจีนเข้ามาลงทุนในตลาดสื่อสารของฟิลิปปินส์ หวังที่จะช่วยลดความขัดแย้งระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์ กรณีที่ทั้งสองประเทศต่างอ้างตนมีสิทธิเหนือพื้นที่หมู่เกาะทะเลจีนใต้ และยิ่งมีสหรัฐฯ เข้ามาเป็นมือที่สามยิ่งทำให้ความตึงเครียดในกรณีดังกล่าวเพิ่มขึ้น ทางจีนเองก็ไม่ประฏิเสธตอบสนองด้วยการคัดเลือกเอาบริษัท ไชน่าเทเลคอม (China Telecom) เข้าไปศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน รวมถึงมองหาพันธมิตรร่วมลงทุน ในตลาดโทรคมานาคมของฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็น ตลาดที่มีอัตตราการเติบโตสูง เพราะฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุด ซึ่งวิธีการเล่นการเมืองระหว่างประเทศของ ดูแตร์เต ต้องยอมรับว่าเป็นกุศโลบายที่หน้าคิด ด้วยฟิลิปปินส์เป็นประเทศขนาดกลางที่จะต้องเอาตัวรอดท่ามกลางประเทศมหาอำนาจ