Fed มีมติปรับดอกเบี้ย 1.75-2.0% Dot Plot สะท้อนทั้งปีปรับ 4 ครั้ง

Fed มีมติปรับดอกเบี้ย 1.75-2.0% Dot Plot สะท้อนทั้งปีปรับ 4 ครั้ง

BF Economic Research  คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.75-2.0% (จากที่ได้ปรับดอกเบี้ยขึ้นในครั้งก่อนเมื่อเดือน มี.ค.) ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด ขณะที่ FOMC มีมติปรับขึ้น Fed Fund Rate 0.25% แต่กลับปรับขึ้น IOER 0.2% เป็นผลให้ IOER ขยับขึ้น 1.95% ต่ำกว่า Fed Fund Rate 0.05% พร้อมกันนี้ FOMC ได้กล่าวว่า ได้เริ่มการลดงบดุลตามแผนที่ได้เคยระบุไว้ในเดือน มิ.ย. 2017 ในการประชุมดังกล่าวได้เผยประมาณการเศรษฐกิจ (GDP, Unemployment, และ Inflation) ส่วนใหญ่เป็นการปรับประมาณการเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ให้ระยะกลาง-ยาว เท่าเดิม (สะท้อนว่า Fed มองว่า […]

ตลาดแรงงานสหรัฐฯขยายตัวแข็งแกร่ง

ตลาดแรงงานสหรัฐฯขยายตัวแข็งแกร่ง

BF Economic Research   การจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm Payroll Employment) เดือน พ.ค. เพิ่มขึ้น +2.2 แสนราย ดีกว่าเดือนก่อนหน้าที่ +1.6 แสนราย ส่วนค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมง (Average Hourly Earnings) เร่งตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนที่ +2.8% YoY จากเดือนก่อนที่ +2.6% YoY ด้านอัตราการว่างงาน (Unemployment rate) ลดลงสู่ระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 1969 เป็น 3.8% จากเดือนก่อนหน้าที่ 3.9% Market Reaction ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น +1.1bps เป็น 2.91% ส่วน DXY อ่อนค่าเล็กน้อยที่ 0.2% […]

สหรัฐเล็งจำกัดการลงทุนของจีน พุ่งเป้าบริษัทเทคโนโลยี

สหรัฐเล็งจำกัดการลงทุนของจีน พุ่งเป้าบริษัทเทคโนโลยี

สื่อต่างประเทศรวมถึงบลูมเบิร์กรายงานว่า คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ กำลังพิจารณาจำกัดการลงทุนจากจีนในภาคเทคโนโลยีของสหรัฐ ซึ่งเป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีความละเอียดอ่อน โดยการควบคุมดังกล่าวจะดำเนินการภายใต้กฎหมายควบคุมสถานการณ์พิเศษแห่งชาติ รายงานระบุว่า ขณะนี้สหรัฐกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อกำหนดภาคเทคโนโลยีที่ต้องจำกัดการลงทุนจากบริษัทจีนอย่างเช่น เซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยี 5G ซึ่งการจำกัดการลงทุนของจีนในสหรัฐครั้งนี้ นับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของสหรัฐ หลังจากทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีในสัปดาห์ที่แล้วเพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์

ค้าปลีกสหรัฐ 25 แห่ง เรียกร้อง ‘ทรัมป์’ ล้มแนวคิดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน

ค้าปลีกสหรัฐ 25 แห่ง เรียกร้อง ‘ทรัมป์’ ล้มแนวคิดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กลุ่มบริษัทธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐจำนวน 25 แห่ง ซึ่งรวมถึงวอลมาร์ท คอสต์โค และเบสท์บาย ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน กลุ่มบริษัทค้าปลีกได้ยื่นจดหมายต่อ ทรัมป์ โดยระบุว่า “เรารู้สึกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับครอบครัวของชาวอเมริกัน หลังจากที่ท่านได้ใช้มาตรการเยียวยาเศรษฐกิจภายใต้กฎหมายการค้าสหรัฐ มาตรา 301 โดยรัฐบาลของท่านได้ดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรมทางการค้าของจีนและได้ดำเนินมาตรการทางการค้าต่อจีนโดยฝ่ายเดียว” ผู้ประกอบการกังวลว่าการตรวจสอบครั้งนี้ หากนำไปสู่การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ก็จะทำให้ครอบครัวชาวอเมริกันมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น อีกทั้งอาจทำให้ระบบการเก็บภาษีของสหรัฐแย่ลง ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากมีรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ เตรียมประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ในวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี โดยมีเป้าหมายที่จะลงโทษจีนในเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

สหรัฐส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดในโลก

สหรัฐส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดในโลก

สำนักข่าวซินหัวรายงาน สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศแห่งกรุงสต็อกโฮล์ม (Stockholm International Peace Research Institute: SIPRI) เปิดเผยว่า สหรัฐอเมริกายังคงรั้งตำแหน่งประเทศที่มีการส่งออกอาวุธมากที่สุดตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โดยได้ส่งออกอาวุธในสัดส่วน 34% ของยอดส่งออกอาวุธทั้งหมดทั่วโลก จากการศึกษาภาพรวมการซื้อขายอาวุธทั่วโลกของ SIPRI พบว่า สหรัฐส่งออกอาวุธเพิ่มขึ้น 25% ในช่วงปี 2013-2017 เมื่อเทียบกับปี 2008-2012 Aude Fleurant ผู้อำนวยการโครงการวิจัยด้านการใช้จ่ายทางอาวุธและการทหารของ (SIPRI Arms and Military Expenditure Program) กล่าวว่า “ยอดส่งออกอาวุธของสหรัฐในช่วงปี 2013–2017 พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1990 จากข้อตกลงที่มีการลงนามตั้งแต่สมัยรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีอารัค โอบามา โดยข้อตกลงเหล่านั้นได้นำไปสู่การลงนามในข้อตกลงเพิ่มเติมในปี 2017 ซึ่งทำให้สหรัฐสามารถรักษาตำแหน่งผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลกไว้ได้ในปีต่อๆมา” รายงานระบุว่า สหรัฐส่งออกอาวุธมากกว่ารัสเซียถึง 58% ในช่วงปี 2013–2017 ซึ่งทำให้รัสเซียเป็นประเทศที่มีการส่งออกอาวุธมากเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐในช่วงเวลาดังกล่าว SIPRI […]

บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หากพุ่งแตะ 4.5% กดตลาดหุ้นทรุดแน่

บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หากพุ่งแตะ 4.5% กดตลาดหุ้นทรุดแน่

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า โกลด์แมนแซคส์กรุ๊ป (Goldman Sachs Group) เตือนว่า หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นแตะระดับ 4.5% ภายในสิ้นปีนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ Daan Struyven นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมนแซคส์ ระบุว่า มุมมองที่เป็นไปได้ คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.25% ภานในสิ้นปี 2018 แต่หากเลวร้ายที่สุด ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็น 4.5% ย่อมส่งผลต่อราคาหุ้นให้ลดลงอย่างรุนแรง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจชะลอตัวลง แต่จะไม่ถึงขั้นเกิดภาวะถดถอย “หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ขึ้นแตะ 4.5% จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นลดลง 20%-25%” ในบทวิเคราะห์ดังกล่าวระบุ ขณะที่นักกลยุทธ์ตลาดทุนหลายคนมองว่า ตลาดหุ้นจะยังคงเป็นขาขึ้นจนกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึงระดับ 3.5% หรือ 4% และขณะนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯได้เพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงระดับ 3% แล้ว

แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ3ป

แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ3ป

เบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้น 1 แท่น สู่ระดับ 799 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2558 และพบว่าจำนวนแท่นเพิ่มขึ้นมาก เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนมีแท่นขุดเจาะน้ำมันเพียง 602 แท่น แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5 โดยเป็นครั้งแรกที่มีการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 5 สัปดาห์นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.ปีที่แล้ว

โกลด์แมนแซคส์เตือน หนี้สาธารณะสหรัฐฯพุ่งสูงกว่า 100% ของจีดีพีในปี 2027

โกลด์แมนแซคส์เตือน หนี้สาธารณะสหรัฐฯพุ่งสูงกว่า 100% ของจีดีพีในปี 2027

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า โกลด์แมนแซคส์กรุ๊ป (Goldman Sachs Group) คาดว่าหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 100% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ในปี 2027 จากปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 77% ของจีดีพี และจะทำให้ฐานะการคลังของสหรัฐฯย่ำแย่ที่สุดเท่าที่เคยประสบมา หรือ นับแต่ทศวรรษที่ 1940 และ 1990 โดยโกลด์แมนแซคส์คาดว่า นโยบายการคลังที่มุ่งกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลกลางต้องก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจะทำให้ภาระหนี้สินของรัฐบาลกลางสหรัฐฯเพิ่มขึ้น เมื่อรวมกับปัจจัยเสริมจากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นแล้ว จะทำให้สหรัฐฯมีภาระดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่สูงกว่าในต้นทศวรรษที่ 1980 และ 1990 “นโยบายการคลังของสหรัฐฯกำลังเข้าสู่เขตแดนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน กล่าวคือ ในอดีต เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวแข็งแกร่ง แต่ภาระหนี้รัฐบาลเพิ่มขึ้น สภาคองเกรสจะตอบสนองด้วยการขึ้นภาษี และลดงบประมาณรายจ่าย แต่ในขณะนี้ ทุกอย่างกลับกัน” นายอเล็ก ฟิลิปส์ นักวิเคราะห์ที่โกลด์แมนแซคส์กล่าว  

จีนเตือนสหรัฐ เผชิญหน้า ถือเป็นกลยุทธ์ที่อันตราย

จีนเตือนสหรัฐ เผชิญหน้า ถือเป็นกลยุทธ์ที่อันตราย

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จีนเตือนสหรัฐฯอย่าใช้นโยบายต่างประเทศแบบเผชิญหน้า เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และอันตรายต่อทุกฝ่าย “เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีความหวั่นเกรงว่า การพัฒนาประเทศตามแนวทางของจีนจะก่อให้เกิดสถานการณ์เผชิญหน้ากับสหรัฐฯ และเป็นอันตรายมาก หากจะใช้กลยุทธ์การเผชิญหน้า” Cui Tiankai นักการทูตจีนในสหรัฐฯกล่าว รายงานข่าวระบุการแสดงความเห็นเกิดขึ้นภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯกล่าวในการแถลงนโยบายยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติเป็นครั้งแรกว่า จีนและรัสเซียคือขั้วอำนาจที่เป็นคู่แข่งของสหรัฐฯ และประกาศจะหาทางลดการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯมีต่อจีน ซึ่งในปีที่ผ่าน สหรัฐฯขาดดุลการค้าต่อจีนเพิ่มขึ้น 8.1% มาอยู่ที่ 375 พันล้านดอลลาร์ เขากล่าวว่า สหรัฐฯและจีนอาจมีปัญหาข้อพิพาทระหว่างกัน แต่การแก้ปัญหาด้วยการเจรจาจะนำไปสู่ทางออกร่วมกันที่ดี

ตลาดคาดการณ์ว่า งบประมาณคลังปี FY2019 น่าจะส่งผลให้ดอกเบี้ยสหรัฐฯปรับขึ้น

ตลาดคาดการณ์ว่า งบประมาณคลังปี FY2019 น่าจะส่งผลให้ดอกเบี้ยสหรัฐฯปรับขึ้น

ทำเนียบขาวเปิดเผยร่างงบประมาณมูลค่า 4.4 ล้านล้านสำหรับปีงบประมาณ 2019 (1 ต.ค. 2018- 30 ก.ย. 2019) ซึ่งจะมีการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ,  โครงการก่อสร้าง (รวมงบสร้างกำแพงอเมริกา-เมกซิโก) และลดค่าใช้จ่ายด้านประกันสุขภาพ เช่น Medicare และ Medicaid ซึ่งงบประมาณนี้จะต้องถูกส่งให้สภาคองเกรสพิจารณา ก่อนมีผลบังคับใช้   Source: CRFB ร่างงบประมาณได้ทำการประมาณว่างบประมาณในปี 2019 จะขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 9.8 แสนล้านดอลลาร์ฯ (4.7% ของ GDP) จากเดิมที่ประมาณการไว้ในปีก่อนที่ 5.3 แสนล้านดอลลาร์ฯ สำหรับแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบุว่ารัฐจะลงทุน 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในระยะเวลา 10 ปี เพื่อกระตุ้นให้รัฐบาลท้องถิ่นและภาคเอกชนลงทุน ซึ่งทางทำเนียบขาวประเมินว่าจะส่งผลให้เกิดการลงทุนรวมทั้งหมด 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ในร่างดังกล่าวนำเสนอแผนรายได้และรายจ่ายในอีก 10 ปีข้างหน้าด้วย ซึ่งประเด็นสำคัญของร่างงบประมาณคลังนี้ประกอบไปด้วย งบประมาณนี้จะลดการขาดดุลงบประมาณ […]