หลังครบ 1 ปีกับการยกเลิกธนบัตรอินเดีย (ต่อ)
นโยบายยกเลิกธนบัตรของรัฐบาลโมดี้ในช่วง 1 ปีเต็มที่ผ่านมาอาจจะทำให้เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลงบ้าง แต่ตลาดหุ้นอินเดียเดินหน้าไปในทิศทางขาขึ้น ดัชนี Nifty 50 Index ซึ่งเป็นเบนช์มาร์คของ National Stock Exchange ของอินเดียทะยานสูงขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว Nilesh Shah กรรมการผู้จัดการของ Kotak Mutual Fund ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนหน้าที่มีการใช้นโยบายยกเลิกธนบัตรเก่าเพื่อแลกธนบัตรใหม่เพื่อแก้ปัญหาการเลี่ยงภาษี หรือตลาดมืด คนอินเดียส่วนมากเก็บเงินเอาไว้ที่บ้าน ซุกใต้หมอน หรือใต้เตียง แต่หลังจากที่มีการใช้นโยบายยกเลิกธนบัตรเก่า คนอินเดียเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงพฤฒิกรรมด้วยการโยกเงินสดเข้าไปในกองทุนรวมต่างๆ ทำให้กองทุนรวมมีการเจริญเติบโต และมีผลทำให้มีเม็ดเงินใหม่ๆ ไหลเข้าตลาดหุ้น เขาบอกว่า ผลกระทบอีกประการหนึ่งของนโยบายยกเลิกธนบัตรคือทำให้คนอินเดียเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงิน และตลาดการเงินมากยิ่งขึ้น โดยที่พวกเขาได้เรียนรู้ว่าการลงทุนในกองทุนรวมช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และให้ผลตอบแทนโดยที่นักลงทุนไม่ต้องกังวลใจอะไรมาก The Financial Times รายงานในบทความชื่อ “India’s stock market learns to live without foreigners” ในวันที่ […]
ประเทศไหนจะเป็นจ้าวตลาด e-commerce ในอาเซียน
หลายสำนักชี้ว่า e-commerce ในอาเซียนมีการเติบโตสูง และเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ทั้งนี้ประเทศ ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม ต่างบูมธุรกิจด้านนี้อย่างมาก Google เปิดเผยว่า ไตรมาส 1/2017 ยอดขายของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในเอเชีย-แปซิฟิก มีสัดส่วนอยู่ถึง 40% ของยอดขายอีคอมเมิร์ซทั่วโลก ขณะที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยอดขายอยู่ที่ 10,000 ล้านดอลลาร์ ตลาด e-commerce ใหญ่ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย ทั้งนี้ Google ยังคาดการณ์ว่า ปี 2018 ตลาด e-commerce ในภูมิภาคนี้รวมกันจะอยู่ที่ 13,000 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มเป็น 88,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 บริษัท iPrice เปิดเผยผลวิจัยใน 7 ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระบุว่า 3 ชาติที่มีการแข่งขันในธุรกิจ […]
ช้อปช่วยชาติ 23 วัน สรรพากรคาดใช้สิทธิฯ กว่า 2.25 หมื่นล้าน
นางแพตริเซีย มงคลวนิช รองอธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า มาตรการภาษีช้อปช่วยชาติ ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในวันที่ 7 พฤศจิกายน กำหนดให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นำค่าใช้จ่ายเท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้า หรือค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน ถึง 3 ธันวาคมปีนี้ มาหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาทนั้น คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิลดหย่อนในปีนี้คิดเป็นมูลค่าภาษีราว 22,500 ล้านบาท และคาดว่าจะส่งผลให้กรมสรรพากรเสียรายได้ภาษีราว 2,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีผู้ใช้สิทธิลดหย่อนเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านบาท สูญเสียรายได้ภาษีราว 1,800 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในประเทศในช่วงปลายปี 2560 ซึ่งจะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ทั้งนี้ สำหรับสินค้าและบริการที่จะใช้ลดหย่อนภาษีตามมาตรการนี้ได้ จะต้องมีการออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบโดยผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี VAT เท่านั้น ซึ่งกรณีสินค้าจะยกเว้นการซื้อสุรา เบียร์ ไวน์ ยาสูบ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ […]
หลังครบ 1 ปีกับการยกเลิกธนบัตรอินเดีย
หนึ่งปีหลังจากที่รัฐบาลโมดี้ประกาศยกเลิกธนบัตรจำนวน 18 ล้านล้านรูเบิ้ล หรือ 86% ของเงินรูปีทั้งหมดที่หมุนเวียนในระบบ ปรากฎว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจอินเดียของมาตรการนี้ยังคงมีอยู่ นายกรัฐมนตรี นาเรนดรา โมดี้ ต้องการใช้นโยบายยกเลิกธนบัตรเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาตลาดมืด การเลี่ยงการจ่ายภาษี ธนบัตรปลอม รวมทั้งการเร่งสู่ระบบการชำระเงินแบบออนไลน์ แต่นโยบายนี้สร้างความปั่นป่วนพอสมควรให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคชนบทที่คนยังไม่เข้าถึงธนาคาร หรืออินเทอร์เน็ต วันที่ 8 พฤศจิกายนนี้จะเป็นวันครบรอบ 1 ปีที่นโยบายยกเลิกธนบัตรได้ประกาศใช้ โดยบังคับให้ประชาชนเอาธนบัตรเก่ามาแลกธนบัตรใหม่ ตอนนี้สถานการณ์เริ่มกลับคืนสู่สภาพปกติ โดยมีธนบัตรใหม่กลับเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 15.89 ล้านล้านรูปี นอกจากมาตรยกเลิกธนบัตรแล้ว นโยบายภาษีใหม่ (Goods and Services Tax) ที่รัฐบาลโมดี้ประกาศใช้ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาก็ทำให้เกิดความอลเวงพอสมควรในการจัดเก็บภาษีที่บังคับใช้ทั่วประเทศเพื่อให้ทุกรัฐของอินเดียมีระบบภาษีรูปแบบเดียวกัน นับว่าเป็นความกล้าหาญของโมดี้ที่ใช้นโยบายยกเลิกธนบัตร และนโยบายภาษีใหม่ ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นที่นิยม และอาจจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงแรก โดยเศรษฐกิจในไตรมาสระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายนปี 2017 มีอัตราเติบโตที่ 5.7% เทียบกับ 6.1%ในไตรมาสแรกระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม อย่างไรก็ตาม ทาง DBS Bank ของสิงคโปร์มีรายงานว่า แม้ว่าการใช้นโยบายยกเลิกธนบัตรอาจจะมีผลกระทบระยะแรก […]
หุ่นยนต์ที่ปรึกษาการเงิน (Robo-Advisor) ยังไงก็สู้คนไม่ได้
นักบริหารเงิน หรือผู้จัดการกองทุนเริ่มมีความกังวลใจกันมากขึ้นว่า งานที่ตัวเองทำจะถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์ (Robo-Advisor) แต่ Robert Merton ศาสดาจารย์ทางด้านไฟแนนซ์จากมหาวิทยาลัย MIT และเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ออกมาบอกว่า เรื่องนี้ไม่น่ากังวลใจ เพราะว่าโปรแกรมที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อที่จะช่วยให้คำแนะนำการบริหารเงินแก่นักลงทุนไม่มีความสามารถพื้นฐานที่คนมี “สิ่งที่เราต้องทำให้เทคโนโลยีทำงานให้ได้คือสร้างความน่าเชื่อถือ แต่เทคโนโลยีสร้างความน่าเชื่อถือด้วยตัวเองไม่ได้” Merton กล่าว Merton บอกต่อไปว่า เนื่องจากเทคโนโลยีไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ จะทำให้เกิดปัญหาหรือความปั่นป่วนในการบริหารความมั่งคั่ง เพราะว่านักลงทุน หรือลูกค้าไม่ทราบได้ว่าหุ่นยนต์ที่ให้คำปรึกษามีวาระแอบแฝงอะไร เราไม่รู้ว่าหุ่นยนต์ใช้ข้อมูลอะไรในการให้คำแนะนำ Merton บอกว่า นอกจากนี้ นักลงทุนอาจจะมีปัญหาในการเลือก Robo-Advisor ที่ถูกใจจากโมเดลของปัญญาประดิษฐ์ที่มีอยู่มากมาย เราจะรู้โมเดลที่ใช้ไม่ได้ในไฟแนนซ์ก็ต่อเมื่อมันสายเกินไปเสียแล้ว Merton บอกว่า สถานการณ์เช่นนี้สร้างโอกาสให้กับที่ปรึกษาการเงินที่เป็นคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เล่นกับความน่าเชื่อถือจะไปได้ดี แม้ว่าอุตสาหกรรมทางการเงินจะพัฒนาเข้าสู่ระบบอัตโนมัติ (automation) มากยิ่งขึ้น “ถ้าหากว่าผมให้การรับรองเทคโนโลยี หรือหุ่นยนต์ว่าเหมาะที่จะให้คำแนะนำทางการเงินกับคุณ คุณเชื่อใจผม แต่ไม่ได้เชื่อหุ่นยนต์” Merton กล่าว
อินเดียอัด 32,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มทุนแบงก์
ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียประกาศว่าจะใช้เงิน 2.11 ล้านล้านรูปี หรือ 32,000 ดอลลาร์ล้านเพื่อเพิ่มทุนระบบธนาคารของรัฐในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า เม็ดเงินมหาศาลที่จะใส่เข้าไปเพื่อเพิ่มทุนระบบธนาคารของรัฐนี้ สูงกว่าที่รัฐบาลโมดีได้ให้สัญญาเอาไว้ถึง 10 เท่า ในการไฟแนนซ์การเพิ่มทุนแบงก์ของรัฐ รัฐบาลอินเดียจะก่อหนี้ด้วยการออกพันธบัตรมูลค่า 1.35 ล้านล้านรูปี ส่วนธนาคารของรัฐจะระดมเงินผ่านงบประมาณที่จะได้รับการสนับสนุนและจากตลาดการเงิน Rajiv Kumar เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังอินเดียเปิดเผยว่า นอกจากนี้รัฐบาลมีแผนที่จะลงทุน 108,000 ล้านเพื่อที่จะสร้างถนนไฮเวย์ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า การเพิ่มทุนของแบงก์รัฐในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้แบงก์มีฐานเงินทุนเพียงพอในการปล่อยกู้เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามทาง Fitch Ratings Ltd. คาดการว่าแบงก์รัฐของอินเดียต้องการเงินทุนอีก 62,000 ล้านดอลาร์ในปี 2019 เพื่อที่จะรองรับความพอเพียงของฐานเงินกองทุนตามกฎของ Basel III ระบบธนาคารของอินเดียยังคงมีหนี้เสียอยู่ทำให้ทางรัฐบาลโมดีต้องเข้าไปจัดการเพิ่มทุน รวมทั้งใช้เงิน 100,000 ล้านรูปีเพื่อซื้อหุ้นแบงก์
ญี่ปุ่นควงแขนพันธมิตร ถ่วงดุลอิทธิพล “จีน”
Taro Kono รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น ประกาศเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า ญี่ปุ่นเตรียมจัดเจรจาระดับสูงในเดือนพฤศจิกายน เพื่อ “ส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าภายใต้กรอบการค้าเสรีและความร่วมมือด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ” ขึ้นในระหว่างประเทศที่มีอาณาบริเวณติดต่อหรือเชื่อมโยงกับทะเลจีนใต้, มหาสมุทรอินเดีย และเลยไปไกลจนถึงทวีปแอฟริกา นอกจากญี่ปุ่นที่เป็นตัวตั้งตัวตีแล้ว ประเทศที่ได้รับเชิญล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ในเอเชีย ได้แก่ อินเดีย ออสเตรเลีย และแน่นอนว่ามีสหรัฐฯด้วย Kono ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า มีการส่งข้อเสนอให้ “ประเทศนอกภูมิภาค” อย่างฝรั่งเศสและอังกฤษ เข้าร่วมในการก่อตั้งกลุ่มความร่วมมือดังกล่าว ในฐานะ “ประเทศผู้ให้ความร่วมมือ” Kono ให้เหตุผลถึงการดำเนินการครั้งนี้ว่า “เราอยู่ในยุคซึ่งญี่ปุ่นจำเป็นต้องแสดงบทบาททางการทูตระหว่างประเทศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ที่วางเอาไว้ หากทะเลจีนใต้เปิดกว้างและมีเสรีสำหรับทุกคน ผลประโยชน์ย่อมตกอยู่กับทุกประเทศ รวมทั้งจีน และแผนงานโอบีโออาร์ของจีน” ตั้งแต่ปี 2015 เมื่อจีนเมินเฉยต่อเสียงเรียกร้องและการประท้วงของนานาชาติ ในการส่งกำลังเข้าไปในเกาะแก่งหลายแห่งในทะเลจีนใต้ แสดงตนเป็นเจ้าของและพัฒนาสิ่งปลูกสร้างทางทหารขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศที่ร่วมอ้างสิทธิเหนือดินแดนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, มาเลเซีย และบรูไน ต่างยื่นประท้วง ในขณะที่แวดวงประชาคมนานาชาติออกมาประณามการยึดครองฝ่ายเดียว หลายฝ่าย โดยเฉพาะญี่ปุ่นกังวลมากว่า วิธีการทำนองเดียวกันนี้ของจีนอาจนำมาใช้ในอีกหลาย ๆ ที่หลาย […]
จับตา “Powell” ประธาน FED คนใหม่
Trump ตกลงเลือก Jerome Powell เป็นประธาน FED คนใหม่แทน Janet yellen ซึ่งจะหมดวาระลงในกุมภาพันธ์ 2018 Wall Street ให้การต้อนรับที่ดีต่อข่าวนี้ เพราะแนวความคิดในเรื่องนโยบายการเงินของ Powell เป็นไปในทิศทางเดียวกับ Yellen เช่น การค่อยเป็นค่อยไปของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการลดงบดุลของ FED กว่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยพยายามไม่กระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินเป็นหลัก สำหรับเรื่องการดูแลสถาบันการเงิน Powell ไปแนวทางเดียวกับ Trump ที่ต้องการให้สถาบันการเงินมีความคล่องตัวในการทำธุรกิจมากขึ้น Powell แสดงให้เห็นว่าเขาจะสานต่อนโยบายของ Yellen และไม่พยายามแสดงให้เห็นว่าจะมีรอยต่อที่ส่อให้เกิดปัญหาในการดำเนินนโยบายของ FED