ธนาคารกลางจีนรับอัดฉีดเงินเข้าตลาด 7.19 หมื่นล้านดอลลาร์
ธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยว่าในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาได้อัดฉีดเงินเม็ดเงินมูลค่า 4.7498 แสนล้านหยวน หรือ 7.19 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่ตลาดผ่านเครื่องมือทางการเงินต่างๆ เพื่อรักษาสภาพคล่องในระบบให้เพียงพอ ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนได้อัดฉีดเงิน 4.04 แสนล้านหยวนเข้าสู่ตลาดผ่านโครงการเงินกู้ระยะกลาง (MLF) เพื่อรักษาสภาพคล่องระหว่างธนาคารให้มีเสถียรภาพ โดยโครงการเงินกู้ประเภทดังกล่าว มีระยะเวลาในการไถ่ถอน 1 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ย 3.2% ขณะเดียวกันธนาคารกลางจีนยังอนุมัติเงินมูลค่า 2.418 หมื่นล้านหยวนให้กับสถาบันการเงิน ผ่านโครงการเงินกู้ระยะสั้น (SLF) ในเดือนที่ผ่านมาด้วยเพื่อรองรับความต้องการสภาพคล่อง นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนยังได้อัดฉีดเงิน 4.68 หมื่นล้านหยวนให้กับธนาคารเพื่อการพัฒนาจีน, ธนาคารเพื่อพัฒนาการเกษตรของจีน และธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกของจีน ผ่านโครงการจัดสรรเงินกู้เพิ่มเติม (PSL) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่าการดำเนินการผ่านตลาดการเงิน (open market operations) ทำให้ธนาคารกลางจีน ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด หลังธนาคารกลางจีนได้กำหนดนโยบายการเงินปี 2017 ภายใต้กรอบที่ “รอบคอบและเป็นกลาง” เพื่อรักษาระดับสภาพคล่องให้เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการอัดฉีดมากจนเกินไป
กองทุน Nordea Emerging Stars ชี้ โอกาสดีเก็บหุ้นถูกในตลาดจีน
กองทุน Nordea Emerging Stars ซึ่งเป็นกองทุนของสแกนดิเนเวีย มีมุมมองที่ดีต่อจีน โดยระบุว่าข่าวร้ายที่มีผลต่อตลาดหุ้นจีน และเศรษฐกิจจีน เกินความจริง แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีให้ผู้จัดการกองทุนเข้ามาซื้อหุ้นราคาถูกของจีนได้ โดย Nordea Emerging Stars ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่มีผลประกอบการที่ดีมาโดยตลอด พร้อมให้ผลตอบแทนเฉลี่ย เกิน 11 % ในแต่ละปี ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา จากการเลือกลงทุนหลักๆในตลาด จีน และ อินเดีย ทั้งนี้กองทุนดังกล่าว เข้าไปลงทุนใน จีน โดยเน้นธุรกิจภาคบริการ รวมถึงภาคบริโภค พบถือหุ้น ของ Tencent Holdings และ Alibaba Group Holding นอกจากนี้ยังถือหุ้น Samsung Electronic ของเกาหลีอีกด้วย ส่วนตลาดอินเดียกองทุนดังกล่าวได้เข้าไปลงทุนในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งธุรกิจบริการด้านการเงิน ซึ่งนับเป็นกลุ่มธุรกิจที่กำลังเติบจากการบริโภคภายในประเทศ
ใช้”เงินสด” ซื้อสินค้า หายไปเร็วกว่าที่คิด
Evan Sohn ผู้ก่อตั้ง Sohn Conference Foundation กล่าวว่า การชำระเงินโดยเงินสดกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การชำระเงินโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และเงินดิจิตัลได้เข้ามาแทน เขาตั้งคำถามว่า เราอยู่ไกลจากภัตตาคารที่ต้องการรับเงินผ่านการจ่ายแบบออนไลน์ ถ้าเราไปทานอาหารที่ร้าน เราจำต้องดาวโหลดแอ็ป และจ่ายเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีเงินสดอีกต่อไป ไม่ต้องใช้เช็ค นายชอนบอกว่า เราไม่ได้อยู่ห่างจากเรื่องเช่นนี้เลย แม้ว่าการจ่ายเงินส่วนมากยังคงเป็นเงินสดอยู่ แต่การยกเลิกเงินสดกำลังเกิดขึ้น ในรายงานของ 2017 World Payments Report ระบุว่า การจ่ายเงินโดยไม่ใช้เงินสดเพิ่มขึ้น 11.2% เป็น 433,100 ล้านดอลลาร์ระหว่างปี 2014 ถึงปี 2015 ซึ่งเป็นอัตราโตที่สูงสุดในรอบ 10 ปี รายงานนี้ชี้ให้เห็นเพิ่มเติมว่าการโอนเงินผ่านบัตรเดบิต และเครดิตเป็นเครื่องมือการชำระเงินทางทางดิจิตัลที่นำหน้าวิธีการอื่น และการชำระเงินเป็นเช็คมีการลดลง นายชอนบอกว่า เขายังไม่แน่ใจว่าตัวหลักอะไรที่จะมาแทนเงินสด ไม่ว่าจะเป็นบิทคอยน์ อเมริกัน เอ็กซ์เพรส มาสเตอร์คอร์ด หรืออะไรอื่น แต่ที่เขามั่นใจคือเรากำลังก้าวเข้าสู่การชำระเงินโดยไม่มีเงินสดมาเกี่ยวข้อง
Digital Economy Innovation Technology Thailand
วีซ่าประเทศไทย ระบุ กรุงเทพฯ ติด 1 ใน 6 มหานครของโลกที่ใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทุกรูปแบบ
ผลวิจัยจากวีซ่าประเทศไทยประเมินผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ จากการเพิ่มการใช้จ่ายผ่านระบบดิจิตอลในหัวเมืองหลักทั่วโลกว่า กรุงเทพฯ ถือเป็น 1 ใน 6 มหานคร ที่กำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ และหากยังคงใช้จ่ายทางอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 126,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มได้รับผลประโยชน์สุทธิ ผู้บริโภค 3,000 ล้านบาท ภาคธุรกิจ 73,000 ล้านบาท และภาครัฐบาล 50,000 ล้านบาท นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่าการใช้จ่ายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งช่วยประหยัดเวลาในการทำธุรกรรมการเงิน ทั้งขั้นตอนการซื้อขายแบบค้าปลีก และช่วยลดต้นทุนการขนส่งอีกด้วย ขณะที่รายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นจากฐานลูกค้าที่ขยายทั้งแบบออนไลน์และในร้าน รายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจ การประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่สำคัยยังช่วยลดจำนวนอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเงินสด “ปัจจุบันเทคโนโลยีตัวเลือกใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ผลักดันให้การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์แพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ในอนาคตจะเห็นรูปแบบการชำระเงินคิวอาร์โค้ด มาตรฐานในร้านค้าต่าง ๆ ที่ไม่ใช่แค่การโอนเงินระหว่างบัญชี แต่สามารถผูกบัตรเครดิตและเดบิตเป็นแหล่งเงินอีกด้วย หรือการซื้อขายออนไลน์ที่มีมากขึ้นทุกวัน ทำให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจมีตัวเลือกที่หลากหลายในการชำระเงิน และรองรับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจดิจิตอลอีกด้วย” […]
นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลต้องการให้บิทคอยน์เป็นสิ่งผิดกฎหมาย
นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล นาย Joseph Stiglitz บอกว่าควรให้มีการออกประกาศว่าบิทคอยท์เป็นสิ่งผิดกฎหมาย เขาบอกว่าบิทคอยท์ประสบความสำเร็จ เนื่องจากมันมีศักยภาพที่จะเลี่ยงกฎหมาย และไม่มีการตรวจสอบจากใคร “ด้วยเหตุนี้ ผมคิดว่าควรจะสกัดบิทคอยท์ว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย” เขากล่าว “บิทคอยท์ไม่ได้ทำหน้าที่อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเลย“ บิทคอยท์มีความผันผวนมากในขาขึ้น ตกลงไปที่ 8,500 ดอลลาร์ก่อนที่จะทะยานไปที่ 11,000 ดอลลาร์ ปีนี้ราคาบิทคอยน์พุ่งสูงขึ้นไปแล้วเกือบ 12 เท่า ทำให้หลายคนออกมาเตือนว่าอาจจะเป็นฟองสบู่ Stiglitz บอกว่า มันเป็นฟองสบู่ ซึ่งจะทำให้หลายคนมีช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นในขณะที่มันมีราคาสูงขึ้น แล้วก็ราคาตกลงมา ในวันพุธที่ผ่านมา บิทคอยท์ทำสถิติสูงสุดที่ราคา 11,388.33 ดอลลาร์ ก่อนที่จะร่วงลงไปที่ 9,292 ดอลลาร์ ท่ามกลางการเทรดที่ผันผวนมาก Daniel Pfändler แห่ง Main Sky Asset Management บอกว่าบิทคอยท์คงต้องเจอราคาแครชลงมาเมื่อถึงเวลา เขายอมรับว่าบล็อคเชนเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า แต่เงินคริปโตอื่นๆที่ก้าวหน้ากว่า หรือมีประสิทธิภาพกว่าจะมาแทนที่บิทคอยท์ที่มีอายุ 8 ปี ทำให้ราคาบิทคอยท์ต้องหล่นลงมาเหมือนกับที่ได้ขึ้นไป