จีนเตือนสหรัฐ เผชิญหน้า ถือเป็นกลยุทธ์ที่อันตราย

จีนเตือนสหรัฐ เผชิญหน้า ถือเป็นกลยุทธ์ที่อันตราย

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จีนเตือนสหรัฐฯอย่าใช้นโยบายต่างประเทศแบบเผชิญหน้า เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และอันตรายต่อทุกฝ่าย “เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีความหวั่นเกรงว่า การพัฒนาประเทศตามแนวทางของจีนจะก่อให้เกิดสถานการณ์เผชิญหน้ากับสหรัฐฯ และเป็นอันตรายมาก หากจะใช้กลยุทธ์การเผชิญหน้า” Cui Tiankai นักการทูตจีนในสหรัฐฯกล่าว รายงานข่าวระบุการแสดงความเห็นเกิดขึ้นภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯกล่าวในการแถลงนโยบายยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติเป็นครั้งแรกว่า จีนและรัสเซียคือขั้วอำนาจที่เป็นคู่แข่งของสหรัฐฯ และประกาศจะหาทางลดการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯมีต่อจีน ซึ่งในปีที่ผ่าน สหรัฐฯขาดดุลการค้าต่อจีนเพิ่มขึ้น 8.1% มาอยู่ที่ 375 พันล้านดอลลาร์ เขากล่าวว่า สหรัฐฯและจีนอาจมีปัญหาข้อพิพาทระหว่างกัน แต่การแก้ปัญหาด้วยการเจรจาจะนำไปสู่ทางออกร่วมกันที่ดี

ซีรี่ส์: จีนผู้ชนะ (ตอนที่1)

ซีรี่ส์: จีนผู้ชนะ (ตอนที่1)

Ian Bremmer นักเขียนของนิตยสาร Time (Nov 13, 2017) เขียนบทความ “Advantage China” หรือ “จีนที่ได้เปรียบ”เพื่อวาดภาพให้คนอ่านเห็นว่า ตรงกันข้ามกับที่คนส่วนมากคาดคิด เศรษฐกิจของจีนที่มีรัฐบาลเป็นตัวนำถูกสร้างขึ้นมาเป็นจุดแข็ง และหาได้เป็นจุดอ่อนไม่ โดยเศรษฐกิจจีนถูกออกแบบมาเพื่อเป็นผู้ชนะในอนาคต นิตยสาร Time เอาเรื่องนายเอียนขึ้นปก โดยพาดหัวว่า China Won แปลว่าจีนชนะแล้ว นายเอียนเขียนว่า เดิมทีมีการมองกันว่า โมเดลของเศรษฐกิจจีนที่ใช้การผสมผสานระหว่างอำนาจนิยมและทุนนิยม (authoritarian-capitalist model) ไม่น่าที่จะอยู่รอด หรือเจริญรุ่งเรืองได้ในโลกของกลไกตลาดเสรี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ5ปีที่แล้ว มีความเห็นพ้องต้องกันในโลกตะวันตกว่าสักวันหนึ่งจีนหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการปฏิรูปการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จเพื่อที่จะให้รัฐบาลมีความชอบธรรม หรือมุ่งไปสู่ระบบที่เสรีมากขึ้น เพราะว่าจีนจะไม่สามารถรักษาระบบทุนนิยมที่รัฐบาลเป็นผู้ดูแลกำกับได้ แต่ที่ไหนได้ นายเอียนยอมรับว่า ทุกวันนี้ ระบบการเมือง และเศรษฐกิจของจีนมีความพร้อม และยั่งยืนมากกว่าระบบของสหรัฐที่มีอิทธิพลเหนือระบบเศรษฐกิจโลกตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่2เสียอีก ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ความสามารถของจีนที่จะใช้บริษัทที่รัฐบาลดูแลกำกับเพื่อที่จะสร้างอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งในเวทีในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เป็นที่แน่นอนว่าภายในปี 2029 เศรษฐกิจของจีนจะมีขนาดใหญ่แซงหน้าสหรัฐตามการศึกษาของ Center for Economics and […]

จีนเสริมทัพหุ่นยนต์ 2 หมื่นตัวปีนี้ เพิ่มความแข็งแกร่งภาคการผลิต

จีนเสริมทัพหุ่นยนต์ 2 หมื่นตัวปีนี้ เพิ่มความแข็งแกร่งภาคการผลิต

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มณฑลกวางตุ้ง (Guangdong) ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญทางใต้ของจีน วางแผนนำหุ่นยนต์อุตสาหกรรมมาใช้งานเพิ่มขึ้นอีก 20,000 ตัวในปีนี้ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการผลิต Ma Xingrui ผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้ง กล่าวว่า “มณฑลกวางตุ้งจะเพิ่มความพยายามในการพัฒนาภาคการผลิตให้เป็นดิจิทัล และสร้างอุตสาหกรรมอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” เขากล่าวว่า “การพัฒนากวางตุ้งจะเน้นไปที่เศรษฐกิจโดยแท้จริง โดยมีภาคการผลิตเป็นรากฐาน” อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ได้ถูกบรรจุไว้เป็นหนึ่งในการพัฒนาที่สำคัญตามยุทธศาสตร์ของประเทศ “Made in China 2025” ซึ่งจีนถือเป็นตลาดหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของโลก จากข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (Ministry of Industry and Information Technology) พบว่า จีนผลิตหุ่นยนต์อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นถึง 100,000 เครื่อง ในช่วง 10 เดือน แรกของปี 2017 เพิ่มขึ้น 70% จากปี 2016 ขณะที่มูลค่าการตลาดของหุ่นยนต์อุตสาหกรรมจีนเพิ่มขึ้นแตะ 4.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2017 และคาดว่าเพิ่มขึ้นเป็น 5.9 พันล้านดอลลาร์ในปี […]

คลังชี้ จีน ปฏิรูปหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ หนุนกำไรปี 17 โตกว่า 23%

คลังชี้ จีน ปฏิรูปหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ หนุนกำไรปี 17 โตกว่า 23%

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงการคลังจีนเผยหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ (State-Owned Enterprises: SOE) มีกำไรเพิ่มขึ้น 23.5% สู่ระดับ 2.9 ล้านล้านหยวน (ราว 4.532แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2017 จากอานิสงส์จีนเดินหน้าปฏิรูปหน่วยงานรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งขององค์กร กำไรของ SOE ที่เพิ่มขึ้นนั้น สวนทางกับสถิติในปี 2016 ที่กำไรอ่อนตัวลง 1.7% ขณะที่รายได้รวมของหน่วยงาน SOE อยู่ที่ 52.2 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 13.6% จากปีก่อนหน้า ส่วนสินทรัพย์ของ SOE นับจนถึงสิ้นเดือนธ.ค.อยู่ที่ 151.7 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 10% เทียบรายปี หนี้สินอยู่ที่ 99.7 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 9.5% เทียบรายปี

นักลงทุนมั่นใจเศรษฐกิจจีนแข็งแกร่ง หนุนความเชื่อมั่น ธ.ค. เพิ่ม 6.5%

นักลงทุนมั่นใจเศรษฐกิจจีนแข็งแกร่ง หนุนความเชื่อมั่น ธ.ค. เพิ่ม 6.5%

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กองทุนคุ้มครองนักลงทุนตลาดหุ้นจีนเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนจีนในเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้นแตะระดับ 55.6 ซึ่งขยายตัวขึ้น 6.5% จากสถิติเดือนพ.ย. ดัชนีที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ถึงมุมมองที่เป็นบวกโดยความเชื่อมั่นนักลงทุนที่แข็งแกร่งนั้น ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจ ขณะที่เศรษฐกิจจีนในปี 2017 ขยายตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี นักลงทุนมั่นใจว่า ตลาดหุ้นจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และมีความเต็มใจมากขึ้นที่จะซื้อสินทรัพย์ ขณะที่ความเชื่อมั่นที่มีต่อมูลค่าหุ้นอ่อนตัวลงเล็กน้อย แต่ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 โดยนักลงทุนมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อสภาพเศรษฐกิจมหภาคในประเทศรวมทั้งนโยบายเศรษฐกิจ

จีนหนุนตลาดบ้านเช่า แก้ปัญหาราคาบ้านพุ่ง

จีนหนุนตลาดบ้านเช่า แก้ปัญหาราคาบ้านพุ่ง

รายงานข่าวจากสำนักข่าวซินหัวระบุว่า แนวโน้มที่อยู่อาศัยเพื่อเช่า(rental housing) ในจีนเพิ่มขึ้น เหตุต้องการเพิ่มอุปทานที่อยู่อาศัย (housing supply) สำหรับคนเมืองที่ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะซื้อบ้านเป็นของตัวเอง เพราะราคาบ้านสูงจนเกินไป นอกจากนี้มีแนวโน้มที่รัฐบาลจีนจะเปิดโอกาสให้บริษัทที่ไม่ใช่ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัย สร้างบ้านเช่าบนพื้นที่ของตนได้ Jiang Daming รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดินและทรัพยากรจีน (Ministry of Land and Resources) การก่อสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าได้รับอนุญาตแล้วในบางพื้นที่แถบชนบท จากนี้ไปรัฐบาลจีนจะไม่ได้เป็นผู้ขายเท่านั้น ด้าน Liu Jun หัวหน้าสายงานก่อสร้างในจีนธนาคาร Guangdong branch ตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าจะช่วยกดดันให้ราคาที่อยู่อาศัยค่อยๆปรับลดลงได้

หยวนแข็งค่าสุดในรอบ2ปี

หยวนแข็งค่าสุดในรอบ2ปี

ธนาคารกลางของจีนกำหนดค่าเงินหยวนที่ระดับ6.4335ต่อดอลล่าร์ในวันพุธ (17 มกราคม)ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ2ปี เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเนื่องจากอยู่ในช่วงขาขึ้นส่วนดอลล่าร์มีการอ่อนตัวลง เงินหยวนอยู่ระดับ6.4372ต่อดอลล่าร์ในวันอังคาร (16 มกราคม) ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดนับตั้งแต่วันที่10 ธันวาคม ปี2015 ในขณะเดียวกัน เงินดอลล่าร์ตกต่ำสุดในรอบ3ปีเมื่อเทียบกับค่าเงินอื่นๆในดัชนีดอลล่าร์

พัฒนาการของ ESG ในจีน (ตอนจบ)

พัฒนาการของ ESG ในจีน (ตอนจบ)

By… เศรณี นาคธน โอกาสพัฒนา ESG ในจีน จากแรงหนุนของรัฐบาล นโยบายการปฏิรูปทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลจีนฉบับล่าสุด (2016-2020) ผนวกกับแรงขับเคลื่อนจากนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ ที่หันมาให้ความสำคัญต่อ ESG ควบคู่กันไปกับผลประกอบการในการพิจารณาลงทุนจะช่วยเป็นแรงกดดันให้บริษัทของจีนต้องตระหนักถึงความสำคัญของ ESG ทั้งนี้นโยบายการปฏิรูปของภาครัฐ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ซึ่งด้านที่ชัดเจนและเห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุด คือ ด้านสิ่งแวดล้อมที่มีการพยายามหาทางลดมลภาวะ โดยจีนประกาศตั้งเป้าหมายที่จะทำให้ทั้งประเทศเลิกพึ่งพาโรงงานไฟฟ้าถ่านหินเป็นหลักให้ได้ในปี 2020 ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินขนาดใหญ่ของจีนหลายแห่งได้ถูกยกเลิกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงมีบทลงโทษสำหรับบริษัทหรือโครงการใดๆที่ก่อให้เกิดมลภาวะขึ้นซึ่งมีโทษสูงสุดถึงการสั่งปิดกิจการ นอกจากนี้รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนแก่บริษัท หรือโครงการต่างๆที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการเข้าระดมทุนในตลาด แม้กระทั่ง การตั้งเป้าหมายที่จะให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กระทั่ง ณ ปัจจุบันประเทศจีนกลายเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับรถยนต์ EV สำหรับด้านธรรมาภิบาลนั้น ทาง กลต. ของจีนได้พยายามพัฒนาเพื่อให้ใกล้เคียงกับมาตรฐานสากล ไม่ว่าจะเป็น กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนของจีนต้องเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนมากขึ้น รวมถึงข้อมูลในด้านของ ESG เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุน สำหรับเรื่องของคอร์รัปชั่น นโยบายการกำจัดคอร์รัปชั่นของรัฐบาลเริ่มเผยแพร่มาสู่ภาคเอกชน โดยบางบริษัทเริ่มมีนโยบายยกเลิกการมอบของขวัญให้กับข้าราชการ เพราะรัฐบาลได้บังคับใช้บทลงโทษสำหรับทั้งผู้ให้และผู้รับสินบน ด้วยแรงสนับสนุนของภาครัฐและเอกชนขนาดใหญ่ จึงเชื่อได้ว่าจีนมีโอกาสพัฒนาทางด้าน ESG ได้อีกไกล

จีนเอาจริงเตรียมสกัดซื้อขายเงินดิจิทัลผ่านแอพพลิเคชั่น

จีนเอาจริงเตรียมสกัดซื้อขายเงินดิจิทัลผ่านแอพพลิเคชั่น

สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่าทางการจีนวางแผนสกัดการเข้าถึงแพลทฟอร์มและแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล โดยการสกัดกันดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจีนยังคงเดินหน้ากวาดล้างการซื้อขายสกุลเงินบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลประเภทอื่นๆ เนื่องจากทางการจีนมองว่า สกุลเงินดิจิทัล เป็นต้นตอของความเสี่ยงในระบบการเงิน ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากรัฐบาลจีนได้รับรายงานการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นบนแพลทฟอร์มที่ตั้งขึ้นโดยชาวจีนและต่างชาติ แม้รัฐบาลจะสั่งระงับการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลเมื่อปีที่แล้ว ภายใต้กฎห้ามการระดมทุนด้วยสกุลเงินดิจิทัล (Initial Coin Offering: ICO) รวมทั้งปิดการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลในหลายตลาด และจำกัดการขุดเหมืองเพื่อหาบิตคอยน์

หมดยุคลอกเลียนแบบ จีนขึ้นแท่นผู้นำด้านเทคโนโลยี

หมดยุคลอกเลียนแบบ จีนขึ้นแท่นผู้นำด้านเทคโนโลยี

บริษัทจีนได้ข้ามพ้นการเป็นผู้ลอกเลียนแบบด้านเทคโนโลยีด้านต่างๆของผู้อื่นไปแล้ว หลังจากจีนได้กว้าขึ้นมาเป็นผู้นำเศรษฐกิจอันดับสองของโลกในด้านต่างๆ Raymund Chao ประธาน PwC’s chairman ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและจีนแผ่นดินใหญ่ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า “ถึงแม้ทุกวันนี้ ยังคงมีความเชื่อที่ว่าจีนคือ copycat แต่นั่นไม่ใช่ความจริงอีกต่อไป” จีนได้กลายเป็นผู้นำที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมหลายด้าน ซึ่งรวมถึง เทคโนโลยีด้านการเงิน หรือ ฟินเทค โดรน เอไอ และโมบายเพย์เมนท์ เขากล่าวว่า ในกลุ่มอุตสหกรรมแบบดั่งเดิม (traditional sectors) เริ่มปรับตัวนำเอานวัตกรรมมาใช้ในภาคการผลิต