จีนอัดฉีดสภาพคล่อง 5 แสนล้านหยวน แต่ยังเดินหน้าคงดอกเบี้ย
ไร้สัญญาณลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจ แบงก์ชาติจีนคงดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลางที่ 2.5% แต่ใช้วิธีอัดฉีดสภาพคล่องแทนอีก 5 แสนล้านหยวน คาดพยุงค่าเงินหยวนไม่ให้ผันผวนเกินไป ขณะที่นักวิเคราะห์ยังตั้งความหวังลดดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดี LPR ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบรอบใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 ก.พ. อีก 5 แสนล้านหยวน (ราว 2.5 ล้านล้านบาท) โดยดำเนินการผ่านโครงการเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ดอกเบี้ย 2.5% และข้อตกลง reverse repo ซึ่งนับเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 15 แล้ว อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ (19 ก.พ.) ธนาคารกลางจีนได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลางที่ระดับ 2.5% เท่าเดิม แม้ว่าจะมีแรงกดดันและคาดการณ์มาหลายสัปดาห์จากบรรดานักวิเคราะห์ว่า จีนอาจจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อใช้นโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้มากกว่านี้ จางเว่ยเหลียง นักกลยุทธ์ด้านสินเชื่อและอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารดีบีเอส กล่าวกับรอยเตอร์สว่า การคงอัตราดอกเบี้ย MLF เป็นเพราะแบงก์ชาติจีนต้องการพยุงค่าเงินหยวนและจำกัดส่วนต่างกับค่าเงินดอลลาร์ไม่ให้มากเกินไป ทั้งนี้ ดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง MLF เป็นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องจ่ายเมื่อมีการกู้ยืมเงินจากธนาคารกลางจีน […]
เงินเฟ้อจีนร่วงแรงสุดรอบ 15 ปี เศรษฐกิจจ่อติดหล่ม ‘เงินฝืด’
ดัชนีเงินเฟ้อของจีนร่วงแรงสุดในรอบ 15 ปี นักวิเคราะห์เตือนยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจ Key Points ดัชนีราคาผู้ผลิตของจีนเดือน ม.ค. ลดลง 2.5% ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 16 ดัชนีราคาผู้บริโภค ลดลง 0.8% ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 ราคาเนื้อหมูที่ลดลงถึง 17.3% เป็นตัวฉุดสำคัญของเงินเฟ้อในกลุ่มอาหาร สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน เปิดเผยสถานการณ์เงินเฟ้อเดือน ม.ค.ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวลง 0.8% ในเดือน ม.ค. เมื่อเทียบปีที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในผลสำรวจของรอยเตอร์คาดว่าอาจลดลง 0.5% โดยเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 และยังเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา ทั้งนี้หากเทียบเป็นรายเดือน ดัชนี CPI ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบเดือน ธ.ค. 2566 แต่ก็ยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าควรจะโตได้ 0.4% ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนสินค้าที่หน้าประตูโรงงาน […]
จีนปรับลด RRR ครั้งแรกของปีนี้ พร้อมทั้งเร่งออกนโยบายอื่นๆ แต่ยังไม่กระตุ้นเศรษฐกิจแบบโปรยเงิน
โดย ดร.มิ่งขวัญ ทองพฤกษา Chief Economist, BBLAM Key Event ธนาคารกลางจีนประกาศปรับลด RRR (Required Reserved Ratio) ลง 50 bps eff. วันที่ 5 ก.พ.เป็นต้นไป ส่งผลต่อสภาพคล่องระยะยาว (Long-term Capital) เพิ่มขึ้น 1 ล้านล้านหยวน โดยธนาคารกลางจีน กล่าวว่า ยังมี Policy Space อีกมาก สำหรับผ่อนคลายเศรษฐกิจ การปรับลด RRR จะเป็นการเพิ่มการใช้จ่ายผ่านการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น การปรับเพิ่ม RRR นี้เป็นครั้งแรกของปี หลังจากที่ปรับลด RRR ไปสองครั้ง (ครั้งละ 25 bps) ปีก่อน พร้อมกันนี้ ทางการจีนได้ทยอยออกนโยบายมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปี 2024 […]
กูรูคาด ปี 67 ‘นักลงทุนจีน’ เน้นปลอดภัย ‘หุ้นกลุ่มสุขภาพ-การแพทย์’ มาแรง
ผู้เชี่ยวชาญคาด ในปี 2567 นักลงทุนในตลาดหุ้นจีนจะเข้าซื้อหุ้นปลอดภัย (defensive sectors) หรือหุ้นที่สามารถต้านทานวัฎจักรทางเศรษฐกิจได้ดี หลังจากตลาดหุ้นจีนทำผลงานย่ำแย่ที่สุดในโลกถึง 3 ปีซ้อน สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานในวันนี้ (12 ธ.ค.) ว่า บรรดาผู้เชี่ยวชาญในแวดวงตลาดหุ้นประเมินว่า หุ้นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มปลอดภัยและคาดว่าจะได้แรงซื้ออย่างคึกคักในปีหน้านั้น ได้แก่ หุ้นกลุ่มสุขภาพ กลุ่มนวัตกรรมทางการแพทย์ กลุ่มบริษัทส่งออกชิ้นส่วนสำคัญสำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า กลุ่มการผลิตที่ทันสมัย และหุ้นของบริษัทข้ามชาติ เช่น พีดีดี โฮลดิ้งส์ (PDD Holdings) รายงานระบุว่า การคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนยังคงมีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มตลาดหุ้นจีนในปีหน้า ขณะที่นักวิเคราะห์จากหลายสำนักซึ่งรวมถึงมอร์แกน สแตนลีย์ และโกลด์แมน แซคส์ ต่างก็คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้ดีกว่าดัชนี S&P500 ของตลาดหุ้นสหรัฐ นายหวัง ชิง ประธานบริษัทเซี่ยงไฮ้ ฉงหยาง อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ กล่าวว่า “หลังจากที่เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ เราก็ได้ลดการลงทุนในหุ้นที่มีความอ่อนไหวต่อวัฏจักรเศรษฐกิจมหภาค และขณะนี้เรากำลังหันไปซื้อหุ้นกลุ่มปลอดภัยที่ให้เงินปันผลสูง เช่น กลุ่มนวัตกรรมทางการแพทย์ซึ่งสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และกลุ่มการผลิตที่ทันสมัยซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน” ดัชนี CSI300 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นบลูชิปในตลาดหุ้นจีน ร่วงลงไปแล้วกว่า 12% นับตั้งแต่ต้นปี 2566 สวนทางกับดัชนีหุ้นโลกที่ดีดตัวขึ้น 15% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และตลาดมีความกังวลมากขึ้นหลังจากมูดี้ส์ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของจีนลงสู่เชิงลบ จากมีเสถียรภาพ อย่างไรก็ดี […]
‘คนรุ่นใหม่จีน’ สิ้นหวังกับเศรษฐกิจ แห่ลงทุน ‘ทองคำ’ สู้ภาวะไม่แน่นอน
เศรษฐกิจเปลี่ยน เทรนด์เปลี่ยน! “คนรุ่นใหม่จีน” สิ้นหวังกับเศรษฐกิจในประเทศ แห่ลงทุน “ทองคำ” หวังต่อสู้กับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นทั้งจากปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัว ตลาดอสังหาฯทรุด ตลาดหุ้นขาลง และเงินหยวนอ่อนค่า สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ผู้ซื้อทองคำในจีนซึ่งเดิมเป็นกลุ่มวัยผู้ใหญ่ ปัจจุบันกลับกลายเป็นกลุ่มอายุน้อยลงเรื่อย ๆ เนื่องจากภาวะขาลงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ตลาดหุ้นและค่าเงินหยวนที่อ่อนแอ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ ทำให้คนรุ่นใหม่จีนเหลือทางเลือกน้อยลงในการเอาตัวรอดจากเศรษฐกิจอันซบเซา เทรนด์นี้ตอกย้ำว่า ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก ซึ่งไม่ได้ฟื้นตัวจากช่วงวิกฤติโควิด-19 เร็วอย่างที่ผู้บริโภคและคนหางานคาดหวังไว้ “ตลาดการจ้างงานไม่ค่อยดีเลย” ลินดา หลิว วัย 26 ปี ซึ่งทำงานกับบริษัทยาแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งกล่าว พร้อมแสดงความกังวลเรื่องความมั่นคงในตำแหน่งงาน “การซื้อทองคำทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้น ฉันอยากซื้อทองรูปพรรณมากกว่าเครื่องเพชรสำหรับงานแต่งงานตัวเอง” ปัจจุบัน จีนเป็นผู้ซื้อทองคำแท่ง (Physical Gold) รายใหญ่ที่สุดในโลก และบรรดานักวิเคราะห์มองว่า ในปีนี้ จีนเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญมากขึ้นในการหนุนราคาทองสปอตโลกพุ่งแรง จนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันจันทร์ (4 ธ.ค.) ที่ผ่านมา นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ความต้องการของจีนสำหรับทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยนั้นจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มทรุดลงอีกในช่วงหลายปีข้างหน้า และกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลออกได้ถ่วงค่าเงินหยวน ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนยังคงซบเซาอย่างต่อเนื่อง “รายได้ผู้บริโภคไม่ได้ปรับขึ้นมากนัก อสังหาริมทรัพย์ไม่ฟื้น ตลาดหุ้นก็ผลงานไม่ดีเท่าที่ควร” ฌักส์ รอยเซน กรรมการผู้จัดการบริษัทดิจิทัล ลักชูรี กรุ๊ปในนครเซี่ยงไฮ้ระบุ “ทองคำจึงเป็นสินทรัพย์โดดเด่นท่ามกลางภาวะแวดล้อมเช่นนี้” […]
‘ไบเดน’ หารือ ‘สี’ ที่ซานฟรานซิสโก
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ประชุมสุดยอดที่คฤหาสน์ชานนครซานฟรานซิสโก เมื่อวันพุธ ผู้นำ 2 ชาติตกลงที่จะเปิดสายฮอตไลน์ระหว่างประธานาธิบดี กลับมาติดต่อสื่อสารทางทหารและทำงานร่วมกันเพื่อควบคุมการผลิตยาเฟนทานิล ด้านผู้นำจีนเรียกร้องสหรัฐฯ ให้หยุดขายอาวุธให้ไต้หวัน สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ประชุมสุดยอดที่ฟีโลลีเอสเตท คฤหาสน์ตากอากาศในเมืองวูดไซด์ ห่างจากทางใต้ของนครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ราว 48 กิโลเมตร เมื่อวันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ตามเวลาท้องถิ่น การประชุมสุดยอดของผู้นำชาติมหาอำนาจ 2 ชาติบรรลุข้อตกลงที่สำคัญ โดยรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาและจีนมีแผนที่จะกลับมาติดต่อสื่อสารทางทหารระหว่างกันอีกครั้ง หลังจากจีนตัดการสื่อสารดังกล่าวไป หลัง แนนซี เพโลซี ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในขณะนั้น เดินทางเยือนไต้หวันเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ไบเดน กล่าว หลังการหารือกับประธานาธิบดีสีว่า ทั้ง […]
IMF เพิ่มคาดการณ์ GDP ทั้งปี 66 จีน สูงกว่าตัวเลขของทางการที่ 5.4%
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2566 แตะ 5.4% ขณะที่ธนาคารกลางแห่งประเทศจีน (PBOC) คาดว่าเศรษฐกิจจะโตเพียง 5% สำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) รายงานเมื่อวันที่ 7 พ.ย. ว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2566 แตะระดับ 5.4% ซึ่งก่อนหน้าในเดือน ต.ค. คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวที่เพียง 5% ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ของ IMF ระบุว่า การปรับขึ้นประมาณการครั้งนี้ เพราะได้แรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีกว่าคาดการณ์ในไตรมาส 3/2566 รวมทั้งชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของปักกิ่ง อย่างไรก็ดี IMF ยังคงประเมินว่า ในปี 2567 เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวเพียง 4.6% ทว่าก็ยังเป็นตัวเลขที่ขยับขึ้นจากที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนต.ค.ที่เพียง 4.2% เนื่องจากความปั่นป่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์และอุปสงค์ต่างประเทศที่ซบเซา ด้านกีตา โกปินาธ (Gita Gopinath) รองกรรมการผู้จัดการลำดับที่หนึ่งของ IMF […]
เงินลงทุนจากต่างประเทศ หรือ FDI ในจีน ติดลบรายไตรมาส ‘ครั้งแรกเป็นประวัติการณ์’
เงินลงทุนจากต่างประเทศ หรือ FDI ในจีน ติดลบรายไตรมาส “ครั้งแรกเป็นประวัติการณ์” ส่งสัญญาณชาติตะวันตกแห่ถอนทุนเพื่อลดความเสี่ยง สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานในวันนี้ (6 พ.ย.) ว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในจีน ลดลงรายไตรมาสเป็นครั้งแรกเป็นประวัติศาสตร์ หรือนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ตอกย้ำถึงความยากลำบากของจีนในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากบริษัทต่างประเทศ เนื่องจากกลุ่มประเทศตะวันตกกำลังพยายามลดความเสี่ยงทางการเงินในจีน ตามรายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับดุลการชำระเงินของจีนที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (3 พ.ย.) จีนมี FDI ติดลบ 11,800 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส ก.ค.-ก.ย. ถือเป็นครั้งแรกที่ติดลบรายไตรมาส นับตั้งแต่ที่หน่วยงานกำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของจีนเริ่มเก็บข้อมูลในปี 2541 โดยอาจเกิดจากการที่ประเทศตะวันตกถอนการลงทุนออกจากจีน ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ดุลพื้นฐานของจีน ซึ่งประกอบด้วยดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการลงทุนโดยตรง มีการขาดดุลถึง 3,200 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นการขาดดุลรายไตรมาสเป็นครั้งที่สองเป็นประวัติการณ์ ด้านสกุลเงินหยวนของจีนมีปริมาณการซื้อขายกับดอลลาร์สหรัฐในตลาดภายในประเทศลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.85 ล้านล้านหยวน (254,050 ล้านดอลลาร์) ในเดือน ต.ค. โดยลดลง 73% […]
‘หุ้นจีน’ พุ่งแรงหลังรัฐบาลไฟเขียวออกบอนด์ 5 ล้านล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ
‘ตลาดหุ้นจีน’ พุ่งแรง โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีนเปิดบวกที่ระดับ 2,986.41 เพิ่มขึ้น 24.17 จุด หลังรัฐบาลส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้อนุมัติการออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (1.37 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทำให้หุ้นไทยและตลาดหุ้นภูมิภาคได้รับอานิสงส์ “ตลาดหุ้นจีน” เช้านี้ (25 ต.ค.) ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดบวกที่ระดับ 2,986.41 เพิ่มขึ้น 24.17 จุด หรือ+0.81% และ ดัชนีฮั่งเส็ง (HSI) พุ่งขึ้น 2.6% ที่ระดับ 17,465 จุด หลังจากที่คณะกรรมการถาวรของสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) อนุมัติการออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (1.37 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5 ล้านล้านบาท) และผ่านร่างกฎหมายที่จะอนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นได้รับโควตาในการออกพันธบัตรในปีงบประมาณ 2567 โดยการดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ กลายเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นเอเชียในช่วงเช้าวันนี้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกว่าการออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1 ล้านล้านหยวนในครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจีนให้แข็งแกร่งขึ้น รายงานระบุว่า เม็ดเงินที่ระดมได้จากการออกพันธบัตรรัฐบาลครั้งใหม่นี้ จะนำไปเป็นทุนในการสนับสนุนการบูรณะซ่อมแซมพื้นที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติในจีน และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการระบายน้ำในพื้นที่เขตเมืองเพื่อช่วยให้จีนมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยทางการจีน ระบุว่า การออกพันธบัตรดังกล่าวจะทำให้ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลจีนในปี 2566 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.8% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จากระดับ 3% ที่ตั้งเป้าไว้ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานวันนี้ ( 24 ต.ค.) ว่าเช้านี้ หุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ปรับตัวขึ้นขึ้น ในขณะที่ดัชนี Hang Seng Tech พุ่งขึ้น 5% ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม จากแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทำให้หุ้นภูมิภาค ในญี่ปุ่น เกาหลีและไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย หวาง ชิง (Wang Qing) หัวหน้านักวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคของ Golden Credit Rating International วิเคราะห์ว่าเงินทุนในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลครั้งนี้จะถูกใช้ต่อไปถึงปีหน้า ซึ่งหมายความว่าอย่างน้อยในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า นโยบายที่สนับสนุนการเติบโตจะยังคงมีผลต่อไป และคาดว่าเศรษฐกิจมหภาคในปีหน้าจะเติบโตอย่างรวดเร็วและสูงถึง 5%” ที่มา: บลูมเบิร์ก
อสังหาฯ จีนยังตกต่ำได้อีก แต่หุ้นจีนผ่านจุดต่ำสุดแล้ว
วิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ เศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นตัว และการที่ภาครัฐไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เพียงพอ เป็นเหตุผลให้นักลงทุนโยกเงิน หนีจากหุ้นจีนอย่างต่อเนื่องในปีนี้ เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเป็นเดือนที่นักลงทุน “ขายสุทธิ” หุ้นจีนสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มใช้ stock connect เชื่อมโยงการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นจีนกับตลาดหุ้นฮ่องกงในเดือนพฤศจิกายน 2014 ส่งผลให้เมื่อเทียบรายไตรมาส ไตรมาส 3 ของปีนี้เป็นไตรมาสที่นักลงทุนขายสุทธิหุ้นจีน สูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2014 ด้วยเช่นกัน คำถามที่น่าสนใจในตอนนี้คือ อสังหาฯ จีนถึงจุดแย่สุดหรือยัง แล้วตลาดหุ้นจีนจะตกต่ำไปกว่านี้อีกหรือไม่ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานผลการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์และนักจัดการเงินลงทุนในฮ่องกงและจีน แผ่นดินใหญ่จำนวน 15 คน เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ 9 คน จาก 15 คน (คิดเป็น 60%) มองว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังไม่ถึงจุดที่เลวร้ายที่สุด กล่าวคือ วิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนจะเลวร้ายลงยิ่งกว่านี้อีก และอาจจะผลักดัน ให้นักลงทุนเคลื่อนย้ายเงินลงทุน ออกจากตลาดหุ้นจีนต่อไปอีก ผู้ตอบแบบสอบถาม 6 จาก 15 ราย (คิดเป็น […]