เยอรมนีทุ่ม 3,000 ล้านยูโรเร่งพัฒนาเอไอ
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า รัฐบาลเยอรมนี ได้จัดสรรงบประมาณกว่า 3,000 ล้านยูโร สำหรับใช้วิจัยและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) โดยมีเหตุผลสำคัญคือประเทศศูนย์กลางเศรษฐกิจของยุโรปแห่งนี้ต้องการปิดช่องว่างในด้านการพัฒนานวัตกรรมซอฟต์แวร์ระหว่างยุโรปกับอเมริกาและเอเชีย สำหรับการใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นในปี 2025 โดยสำนักข่าวรอยเตอร์สได้เห็นระยะเวลาที่กำหนดไว้นี้ในรายงานฉบับร่างเรื่อง ‘Ai made in Germany’ หรือเอไอที่สร้างขึ้นในเยอรมนี เบื้องต้นเยอรมนีน่าจะมุ่งการพัฒนาเทคโนโลยีและเอไอเพื่อใช้กับอุตสาหกรรมส่งออกดั้งเดิมสำคัญของเยอรมนีนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ในรายงานที่จัดทำขึ้นยังได้ระบุถึงประเด็นนโยบายทางสังคมและแรงงานเอาไว้ด้วย เพื่อรองรับผลกระทบจากเทคโนโลยีและเอไอ ที่อาจไปเปลี่ยนรูปแบบโครงสร้างสังคมเดิมๆ “เราต้องการสนับสนุนการใช้เอไอเป็นเครื่องมือในธุรกิจ แต่เทคโนโลยีที่สร้างผลกระทบเช่นนี้จะต้องมีระยะเวลาสำหรับการปกป้องในเชิงมูลค่าทางสังคมและสิทธิส่วนบุคคลด้วย” ส่วนหนึ่งในรายงานระบุไว้
การชำระเงินด้วยข้อมูลชีวภาพเป็นทางเลือกแห่งอนาคต
ไชน่าเดลี รายงานว่า เมื่อช่วงเทศกาลช้อปปิ้งวันคนโสด 11 พ.ย. ที่ผ่านมา 60.3% ของการชำระเงินนั้นเกิดขึ้นผ่าน T-mall ของอาลีบาบา และ Taobao โดยที่ผู้ใช้งานสแกนลายนิ้วมือของตัวเองหรือใบหน้าเพื่อเข้ารหัสผ่าน ซึ่งการชำระเงินด้วยข้อมูลทางชีวภาพ หรือไบโอ เพย์เมนท์ นี้ถูกใช้แทนที่การเข้ารหัสผ่าน และถือเป็นทางเลือกการชำระเงินแห่งอนาคต Hu Xi ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ของแอนท์ ไฟแนนซ์ ซึ่งดำเนินการแพลตฟอร์มระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ อาลีเพย์ ถูกใช้งานใน T-mall และ Taobao กล่าวว่า พวกเขาได้ทดลองใช้เทคโนโลยีไบโอ เพย์เมนท์ ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2012 และเป็นผู้บุกเบิกใช้การตรวจสอบลายนิ้วมือในการชำระเงิน ระหว่างช่วงเทศกาลช้อปปิ้งวันคนโสดเมื่อปี 2015 การเข้ารหัสผ่านต้องใช้เวลาเฉลี่ย 3 วินาที ส่วนการสแกนลายนิ้วมือจะใช้เวลาเพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้น ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานที่ต้องการเข้าถึงดีลได้อย่างรวดเร็ว Hu กล่าว เมื่อปี 2015 Jack Ma […]
นายกฯ มาเลเซียคาดทรัมป์หมดสิทธิ์ชนะเลือกตั้งรอบหน้า
ซีเอ็นบีซี รายงานว่า นายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัด ของมาเลเซีย กล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เขาจะประหลาดใจถ้าประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นปี 2020 เขา กล่าวว่า เขาพยากรณ์อยู่บนพื้นฐานผลการเลือกตั้งกลางเทอมในช่วงที่ผ่านมา ของพรรครีพับลิกัน และเชื่อว่า เมื่อไหร่ที่ทรัมป์ออกไป นั่นจะเป็นการยุติสงครามการค้าที่วุ่นวาย “อย่างที่คุณเห็นจากการเลือกตั้งกลางเทอม ทรัมป์ทำได้ไม่ดี โอกาสของเขาที่มียิ่งน้อยลงไป ฉันจะประหลาดใจถ้าในการเลือกตั้งครั้งหน้าเขากลับมาอีก” มหาเธร์ กล่าว ทั้งนี้ มหาเธร์ มองว่า ถ้าทรัมป์ไม่อยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว สมาชิกคนอื่นในรัฐบาลสหรัฐ ไม่ว่าจะมาจากรีพับลิกัน หรือเดโมแครต พวกเขาก็คงจะไม่เดินหน้าต่อสงครามการค้า
ก.ล.ต. ปรับปรุงนิยาม “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” ของบริษัทหลักทรัพย์
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เตรียมปรับปรุงนิยามของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์จากปัจจุบันที่กำหนดให้พิจารณาจาก “จำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง” เป็น “จำนวนสิทธิออกเสียง” เพื่อให้การกำกับดูแลผู้ถือหุ้นรายใหญ่สะท้อนถึงบุคคลที่มีอำนาจในการควบคุมกิจการอย่างแท้จริง ทั้งนี้ สืบเนื่องจากประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนไขให้บริษัทหลักทรัพย์ต้องขอรับความเห็นชอบบุคคลที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยกำหนดนิยาม “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” หมายถึง บุคคลที่ถือหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมเกินกว่าร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทนั้น ในกรณีที่บริษัทหลักทรัพย์มีการออกหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงไม่เท่ากัน อาจทำให้ผู้ถือหุ้นบางรายมีจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงมากกว่าหรือน้อยกว่าจำนวนสิทธิออกเสียงได้ ซึ่งอาจขัดกับหลักการกำกับดูแลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ต้องการกำกับดูแลผู้ที่มีอำนาจควบคุมกิจการที่แท้จริง ก.ล.ต. จึงมีแนวคิดในการปรับปรุงนิยามของคำว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จากปัจจุบันที่กำหนดให้พิจารณาจาก “จำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง” เป็น “จำนวนสิทธิออกเสียง” เพื่อให้การกำกับดูแลผู้ถือหุ้นรายใหญ่สะท้อนถึงบุคคลที่มีอำนาจในการควบคุมกิจการอย่างแท้จริง และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมและนำข้อคิดเห็นต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ให้มีความเหมาะสมต่อไป อนึ่ง ก.ล.ต. ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวไว้ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. www.sec.or.th/hearing ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจสามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ หรือโทรสาร 0-2033-9660 หรือทาง e-mail piyatit@sec.or.th หรือ witchulada@sec.or.th จนถึงวันที่ 7 ธ.ค.นี้
อี-คอมเมิร์ซเพิ่มโอกาสธุรกิจขนาดเล็ก-กลางเข้าถึงตลาดโลก
สภาเศรษฐกิจโลกนำเสนองานศึกษา เรื่องการขนส่งสินค้าอี-คอมเมิร์ซ ในยุคเปลี่ยนผ่านโลจิสติกส์ โดยชี้ว่า อี-คอมเมิร์ซ ได้เพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจขนาดเล็กจนถึงขนาดกลางในการเข้าถึงตลาดโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ธุรกิจขนาดเล็กสามารถค้าขายกับลูกค้าและพันธมิตรจำนวนมากขึ้นกว่าอดีต โดยที่บริการด้านโลจิสติกส์และการส่งสินค้ามีความสำคัญมาก เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าที่ถูกสั่งผ่านออนไลน์จะถึงมือลูกค้า และสามารถส่งคืนกลับได้ถ้าได้รับสินค้าไม่ถูกต้องหรือเสียหาย ในงานศึกษานี้ อธิบายว่า อี-คอมเมิร์ซ เปลี่ยนผ่านธุรกิจค้าปลีกให้แตกต่างจาก 20 ปีที่ผ่านมา ผู้เล่นที่ทุกคนรู้จักกันดีต้องปรับโครงสร้างครั้งใหญ่หรือล้มหายไป เพราะได้รับผลกระทบจากผู้เล่นใหม่ๆ บนออนไลน์ แพลตฟอร์ม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้มีผลมาจากอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น ทำให้เกิดร้านค้าที่เปิดได้แบบ 24 ชั่วโมง 7 วัน ผ่านแล็ปท็อปและอุปกรณ์มือถือ อีกทั้งเพิ่มความสามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ ราคา และสามารถขนส่งสินค้าให้ผู้บริโภคถึงหน้าประตูบ้าน เมื่อให้มองอนาคต คาดว่า เวลาขนส่งสินค้าจะยิ่งสั้นลงอีก อาจเป็นภายในวันเดียว ในแค่ 1-2 ชั่วโมงก็ได้ เป็นผลจากผู้บริโภคมีความคาดหวังมากขึ้น และผู้บริโภคก็มีความต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้นในด้านการเลือกรูปแบบการส่งสินค้าที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองมากกว่าจะเป็นไปตามกระบวนการของบริษัทในการจัดส่ง โดย เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญกับการปิดช่องว่างนี้ เป็นตัวนำในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพิ่มความสะดวกทั้งผู้ขนส่งและผู้รับสินค้า โดยการขนส่งทางเลือกที่กำลังถูกพัฒนา เช่น ส่งผ่านล็อคเกอร์ ส่งถึงรถ และส่งผ่านเครือข่ายที่รับฝากและให้มารับสินค้ากำลังเติบโตมากสำหรับธุรกิจค้าปลีก เพื่อให้แน่ใจว่าจะส่งสินค้าอี-คอมเมิร์ซถึงมือผู้บริโภคได้ ขณะที่ผู้ให้บริการโลจิสติกส์หลายเจ้าก็พยายามจัดหาบริการขนส่งที่มีมูลค่าเพิ่มมาเติมเต็ม […]
บริษัทวิจัยตลาดคาดจีนครองแชมป์จุดหมายที่คนเที่ยวมากสุดปี 2030
สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า จีนจะชิงตำแหน่งประเทศจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวนิยมมากที่สุดในปี 2030 แซงแชมป์อย่างสิงคโปร์ไปได้ โดยข้อมูลนี้มาจากรายงานล่าสุดที่ออกโดยบริษัทวิจัยตลาดในลอนดอน อย่างยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รายงานฉบับนี้ถูกเปิดเผยขึ้นในงานด้านการตลาดท่องเที่ยวใหญ่ระดับโลกที่จัดขึ้นในลอนดอน โดยระบุว่า ปีนี้จะเห็นการเดินทางทั้งหมด 1,400 ล้านทริปเกิดขึ้นทั่วโลก เพิ่มขึ้น 5% จากปีที่ผ่านมา โดยแหล่งท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างยั่งยืนส่วนใหญ่มีศูนย์กลางอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีอัตราการเติบโตถึง 10% ในปีนี้ นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า ทริปเดินทางระหว่างประเทศจะแตะระดับ 2,400 ล้าน ทริปภายใน 12 เดือนข้างหน้า โดยจีนจะเป็นตลาดที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปเที่ยวขนาดใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2030 ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจะมาจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นหลัก เศรษฐกิจที่เติบโต และรายได้ที่สูงขึ้นของคนในประเทศเอเชียเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เดินทางไปเที่ยวจีนมากขึ้น ส่วนข้อจำกัดด้านวีซ่าที่ผ่อนคลายลง และการจัดกิจกรรมใหญ่ เช่น โอลิมปิกฤดูหนาว 2022 จะเป็นแรงสำคัญที่ผลักดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวจีนมากขึ้น ทั้งนี้ การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจจีน โดยการลงทุนที่เกิดขึ้นมากเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและมาตรฐาน การมีนโยบายเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวและการคิดริเริ่มใหม่ๆ เหล่านี้เป็นตัวสนับสนุนการท่องเที่ยวจีนทั้งสิ้น Wouter Geerts นักวิเคราะห์อาวุโสด้านท่องเที่ยว ของยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าว […]
เยลเลนชี้เศรษฐกิจสหรัฐจะแข็งแกร่งต้องจ้างงานเต็มอัตรา
นางเจเน็ต เยลเลน อดีตผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ กล่าวในการประชุม Bloomberg New Economy Forum ซึ่งจัดขึ้นที่สิงคโปร์ว่า เศรษฐกิจจะแข็งแกร่งได้นั้น ต้องมีการจ้างงานเต็มอัตรา รวมถึงให้ความสำคัญกับแรงงานที่มีค่าแรงต่ำซึ่งเป็นกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมอเมริกา ซึ่งความไม่เท่าเทียมกันในสังคมและค่าแรงที่อยู่ในระดับต่ำสร้างความไม่พอใจในระบบทุนนิยมในสหรัฐ ขณะที่ อัตราการจ้างงานในกลุ่มคนผิวสีลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ในปี 2010 ที่มีการจ้างงานคนผิวสีแตะระดับสูงสุด เขากล่าวว่า สหรัฐควรรักษาระเบียบข้อบังคับอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเกิดวิกฤตการทางการเงินอีกครั้ง เขามองว่าการที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเล็กน้อยนั้น ถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม และยังกล่าวด้วยว่า ภาวะทางการเงินในสหรัฐยังคงอยู่ในลักษณะผ่อนคลาย แม้ตลาดเข้าสู่ระยะพักฐานเมื่อเร็วๆ นี้ก็ตาม ทั้งนี้ เฟดได้ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนับตั้งแต่ปี 2009 และขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่เฟดจะต้องชะลอการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมกับเดินหน้าควบคุมเงินเฟ้อ
ฮ่องกงถูกสิงคโปร์แซงหน้าราคาที่อยู่อาศัยแพงสุด
ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์เพิ่มขึ้นร้อนแรงที่สุด แซงหน้าฮ่องกงที่ปัจจุบันตกลงมาอยู่อันดับที่ 14 แม้ว่าสิงคโปร์จะมีมาตการชะลอความร้อนแรงของราคาที่อยู่อาศัยก็ตาม Knight Frank บริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ทำการจัดอันดับ The Prime Global Cities Index ในไตรมาส 3 สิ้นสุดเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา พบว่า สิงคโปร์มีราคาอสังหาริมทรัพย์หรูเติบโตร้อนแรงที่สุด โดยราคาบ้านปรับเพิ่มขึ้นถึง 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามความต้องการที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ ฮ่องกงร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 14 โดยราคาบ้านปรับเพิ่มขึ้นเพียง 5.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นของราคาที่อยู่อาศัยในฮ่องกงยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยราคาอสังหาริมทรัพย์ 43 เมืองทั่วโลกที่ปรับขึ้น 2.7%
Amazon Morning Brief Robot Technology
อเมซอนลดจ้างคนเปลี่ยนไปใช้หุ่นยนต์เพิ่มช่วงเทศกาลช้อปปิ้ง
ซีเอ็นบีซี รายงานว่า Mark May นักวิเคราะห์ของ ซิตี้ กล่าวว่า ซิตี้ได้จัดทำรายงานเกี่ยวกับงานด้านเทคโนโลยีประจำเดือน ต.ค. โดยระบุว่า อเมซอนได้ลดจำนวนการจ้างงานชั่วคราวสำหรับช่วงเทศกาลช้อปปิ้งลงแล้วเปลี่ยนมาใช้หุ่นยนต์มากขึ้น “เรามองเห็นการเร่ตัวในการใช้หุ่นยนต์เพื่อเติมเต็มในศูนย์ปฏิบัติงานและลดการจ้างคนลงในช่วงเทศกาล” นักวิเคราะห์อินเทอร์เน็ต กล่าวผ่าน Squawk Alley May กล่าวอีกว่า สำหรับการเพิ่มหุ่นยนต์ ในช่วงเทศกาลวันหยุดนั้น ปี 2017 ที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่อเมซอนจ้างงานชั่วคราวเท่าๆ กับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตรายนี้ คาดว่าปีนี้จะจ้างงานคนทำงานในช่วงเทศกาล 1 แสนคน ลดลง 20,000 คนจากปีก่อน ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่อเมซอนจะจ้างงานช่วงเทศกาลวันหยุดน้อยกว่าปีก่อนหน้า แล้วใช้หุ่นยนต์กับระบบอัตโนมัติทดแทน การการจ้างงานนั้นสามารถช่วยนักวิเคราะห์คาดการณ์การเติบโตของบริษัทได้ และกลายเป็นประเด็นสำคัญของกลุ่มธุรกิจอินเทอร์เน็ต บริษัทที่ตั้งอยู่ในซีแอตเทิลนั้น เริ่มเพิ่มการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในคลังสินค้าของตัวเองมากขึ้นมา 3 ปีแล้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน May กล่าว “อเมซอนนั้นยังคงกำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเลือกเมืองไหนเป็นสำนักงานใหญ่แห่งที่ 2 โดยคาดว่าจะเลือกได้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งบริษัทคาดว่า สำนักงานใหญ่แห่งที่ 2 จะสร้างงานใหม่ได้ถึง […]
EU เปิดให้บริษัทการเงินของอังกฤษสามารถเข้าถึงตลาดได้หลัง Brexit
อังกฤษและสหภาพยุโรป หรือ EU บรรลุข้อตกลงชั่วคราว ให้บริษัทด้านการเงินของอังกฤษสามารถเข้าถึงตลาดใน EU ได้ หลังจากอังกฤษแยกตัวจากสหภาพยุโรป หรือ Brexit นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เปิดเผยว่า ทีมเจรจาของอังกฤษและสหภาพยุโรป ให้รายละเอียดถึงข้อตกลงชั่วคราวด้านสถาบันการเงินว่า จะครอบคลุมความร่วมมือในบริการทางการเงินแบบรอบด้าน รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ซึ่งทำให้สถาบันการเงินของอังกฤษสามารถเข้าถึงตลาดของสหภาพยุโรปได้ ตราบเท่าที่กฏเกณฑ์ด้านการเงินของอังกฤษสอดคล้องกับกฏระเบียบข้อบังคับของ EU รายงานข่าวระบุว่านี่ถือเป็นข้อตกลงที่เป็นรูปเป็นร่างที่สุด ก่อนที่แผนเบร็กซิตในอีก 5 เดือนข้างหน้า ในขณะที่รัฐบาลอังกฤษ ระบุว่ายังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าการเจรจาเบร็กซิตจะสิ้นสุดเมื่อไหร่