ความมั่งคั่งทั่วโลกเพิ่มขึ้น แต่ยังไร้ความเท่าเทียม

ความมั่งคั่งทั่วโลกเพิ่มขึ้น แต่ยังไร้ความเท่าเทียม

เวิลด์แบงก์ เปิดเผยว่า ความมั่งคั่งทั่วโลกขยายตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความไม่เท่าเทียมปรากฎให้เห็น รายงานความมั่งคั่งทั่วโลก “Changing Wealth of Nations 2018” ของเวิลด์แบงก์ แสดงให้เห็นว่า ความมั่งคั่งทั่วโลก ซึ่งนับรวมต้นทุนทางสังคม, ทุนทางธรรมชาติ, ทุนมนุษย์ และสินทรัพย์ต่างประเทศสุทธินั้น ขยายตัวขึ้น 66% สู่ระดับ 1,143 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 1995 จากระดับปี 2014 รายงานระบุว่า ความมั่งคั่งทั่วโลกระหว่างปี 1995-2014 เริ่มแพร่กระจายไปยังประเทศที่มีรายได้ในระดับปานกลาง เนื่องจากการเติบโตที่รวดเร็วของเอเชีย ขณะที่ประเทศในอันดับต้นๆของโลกที่มีรายได้สูงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศส่วนใหญ่มีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นระหว่างปี 1995-2014 โดยรายได้ต่อหัวในประเทศที่มีรายได้ปานกลางนั้น มีการขยายตัวมากที่สุด รายงานดังกล่าวให้เหตุผลว่า ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการสั่งสมทุนมนุษย์ ซึ่งได้ประโยชน์จากการลงทุนมหาศาลเพื่อพัฒนาผลิตผลในด้านสุขภาพและการศึกษา อย่างไรก็ดี ความไม่เท่าเทียมกันยังคงมีปรากฎให้เห็นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาดังกล่าว โดยรายงานพบว่าความมั่งคั่งต่อหัวในประเทศที่มีรายได้สูงขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) นั้น มากกว่าความมั่งคั่งในประเทศรายได้ต่ำถึง 52%

ธนาคารโลก ชี้หาก Brexit ไม่ราบรื่น เสี่ยงกระทบการฟื้นตัวเศรษฐกิจยุโรปปีนี้

ธนาคารโลก ชี้หาก Brexit ไม่ราบรื่น เสี่ยงกระทบการฟื้นตัวเศรษฐกิจยุโรปปีนี้

ธนาคารโลก (World Bank ) เตือนว่า หากสหราชอาณาจักรล้มเหล้วในการบรรลุข้อตกลงแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ด้วยกระบวนการที่ “ราบรื่น” แล้ว อาจสร้างความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจยุโรปที่กำลังฟื้นตัวในปี 2018 รายงานของธนาคารโลกฉบับล่าสุดซึ่งมีการเผยแพร่เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ระบุว่า การเจรจา Brexit ที่ยืดเยื้อจะเป็นปัจจัยลบต่อการตัดสินใจลงทุนทั่วภูมิภาคยุโรป โดยที่ผ่านมานั้น กระบวนการ Brexit ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของอังกฤษแล้ว นายฟรานซิสกา ไลเซลอตต์ ออห์นซอร์จ นักเศรษฐศาสตร์แห่งเวิลด์แบงก์ เตือนว่า “หากมีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในกระบวนการ Brexit อาจฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรปที่กำลังฟื้นตัวอย่างมั่นคง” เขาระบุว่า “ยุโรปยังคงเผชิญกับปัจจัยความไม่แน่นอนที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจทำลายความเชื่อมั่นและฉุดรั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ”