จีนกระตุ้นธุรกิจประกันคลอดผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุเพิ่ม

จีนกระตุ้นธุรกิจประกันคลอดผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุเพิ่ม

ไชน่าเดลี รายงานว่า จีนกำลังเตรียมปรับปรุงผลิตภัณฑ์ประกันเชิงพาณิชย์ที่มีในท้องตลาดเพื่อรองรับประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการทำวิจัยและผลิตนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับด้านนี้ Liu Hongjian รองผู้อำนวยการฝ่ายกำกับดูแลประกันชีวิต คณะกรรมการกำกับดูแลการธนาคารและการประกันภัยของจีน (CBRIC) กล่าวว่า ฝ่ายกำกับจะสนับสนุนให้กลุ่มธุรกิจประกันเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดหาผลิตภัณฑ์ กระตุ้นการออกผลิตภัณฑ์ประกันที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ รวมถึงจัดหาผลิตภัณฑ์ประกันสำหรับผู้สูงอายุที่คุ้มครองครอบคลุมมากขึ้นในราคาเบี้ยประกันที่ต่ำลง “CBRIC จะปรับปรุงกฎเกณฑ์ ปฏิรูปโครงสร้างฝั่งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการเงิน และจัดทำแนวทางสำหรับการเพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีเป้าหมายเป็นผู้สูงอายุ และส่งเสริมนวัตกรรมที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ โดยเราจะกระตุ้นบริษัทประกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ บนพื้นฐานของความเสี่ยงและความต้องการใช้บริการประกันภัย พร้อมเพิ่มผลิตภัณฑ์หลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับประกันสุขภาพ ประกันการดูแลระยะยาว และประกันอุบัติเหตุ” Liu กล่าว ทั้งนี้ ปัจจุบันที่บริษัทประกันมีอยู่ในท้องตลาดอยู่แล้ว มีมากกว่า 1,000 รายการที่พร้อมให้ประชากรจีนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปซื้อได้ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ประกันที่มีอยู่ก็ยังไม่ตรงกับความต้องการของผู้สูงอายุเสียทีเดียว เพราะผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่มีในปัจจุบัน ไม่ได้ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ หากเป็นไปได้ ก็อาจจะต้องผ่อนปรนเกณฑ์ข้อบังคับเกี่ยวกับอายุและนโยบายการจ่ายประกัน ที่ทำมาเพื่อลูกค้าวัยหนุ่มสาว ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุจะต้องจ่ายค่าส่วนต่างในราคาที่สูงขึ้น 10 เท่า เมื่อเทียบค่าใช้จ่ายที่คนวัยหนุ่มสาว หรือวัยกลางคนต้องเสีย สำหรับประกันอุบัติเหตุและประกันสุขภาพ

อินโดนีเซียเล็งกำหนดค่าธรรมเนียมคงที่สำหรับการทำธุรกรรมผ่านอี-วอลเล็ท

อินโดนีเซียเล็งกำหนดค่าธรรมเนียมคงที่สำหรับการทำธุรกรรมผ่านอี-วอลเล็ท

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า อินโดนีเซียวางแผนจัดเก็บค่าธรรมเนียมอัตราคงที่กับการทำธุรกรรมบางรายการผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (อี-วอลเล็ท) ซึ่งความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนี้ อาจกระทบรายได้และเพิ่มต้นทุนให้สตาร์ทอัพด้านการชำระเงิน เช่น แอนท์ ไฟแนนเชียล บริษัททางการเงินในกลุ่มอาลีบาบา โดยปัจจุบันผู้ให้บริการอี-วอลเล็ทในอินโดนีเซีย  จัดเก็บค่าธรรมเนียมโดยปรับตามความเหมาะสมกับผู้ขาย มีการเก็บค่าธรรมเนียมพรีเมียมกับผู้ค้าปลีกรายใหญ่ และยอมรับภาระต้นทุนให้ร้านค้าเล็กๆ เพื่อสนับสนุนให้พวกเขาหันมาใช้แพลตฟอร์ม ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย พูดคุยกับสตาร์ทอัพการชำระเงินดิจิทัลรายใหญ่ที่สุดในประเทเรียบร้อยแล้ว เกี่ยวกับการเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านคิวอาร์โค้ด ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้เกิดตั้งแต่เดือน ส.ค. 2019 เพื่อสร้างมาตรฐานการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้บาร์โค้ดแบบเมทริกซ์ อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางอินโดนีเซียยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้ สำหรับผู้นำอี-วอลเล็ทในอินโดนีเซีย ก็คือสตาร์ทอัพด้านการแบ่งปันการขับขี่ที่มีต้นกำเนิดในอินโดนีเซียอย่าง Gojek ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกูเกิล นอกจากนี้ยังมีสตาร์ทอัพที่ชื่อว่า OVO ที่มี Grab คู่แข่งของ Gojek ถือหุ้น ขณะที่อี-วอลเล็ทของแอนท์ ไฟแนนเชียล ชื่อว่า DANA ก็พยายามขยายตลาดนี้ เช่นเดียวกับแพลตฟอร์มชำระเงินของรัฐที่ชื่อ่า LinkAja ทั้งนี้ ธนาคารกลางอินโดนีเซียต้องการเก็บค่าธรรมเนีมการทำธุรกรรมผ่านอี-วอลเล็ท แบบคงที่ในอัตรา 0.7% โดยอาจส่งผลกระทบต่อร้านคารายเล็กที่ปัจจุบันยังไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใดๆ สำหรับการใช้เครือข่ายอี-วอลเล็ท หรืออาจเป็นการบังคับให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต้องเพิ่มแรงจูงใจในการใช้บริการกับร้านค้าเหล่านี้ […]

รัสเซียสั่งห้ามซื้ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลจากต่างประเทศ หวั่งเสริมสร้างความมั่นคงให้กับระบบอิเล็กทรอนิกส์

รัสเซียสั่งห้ามซื้ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลจากต่างประเทศ หวั่งเสริมสร้างความมั่นคงให้กับระบบอิเล็กทรอนิกส์

รายงานข่าวจากสำนักข่าวซินหัวระบุว่าความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัสเซียในการที่จะเสริมสร้างความมั่นคงให้กับระบบอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ โดยรัสเซียได้ลงนามในคำสั่งห้ามซื้ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลจากต่างประเทศ อีกทั้งจะช่วยสนับสนุนผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในประเทศ นายกรัฐมนตรี ดมิทรี เมดเวเดฟ ของรัสเซียได้ลงนามในคำสั่งห้ามซื้ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลจากต่างประเทศสำหรับนำมาใช้กับหน่วยงานราชการระดับรัฐและท้องถิ่นเป็นเวลาสองปี คำสั่งที่มีการเผยแพร่บนเว็บไซต์ข้อมูลกฎหมายของทางการรัสเซียระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นเพื่อรับประกันความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของรัฐบาลรัสเซีย โดยคำสั่งห้ามดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่ที่มีการเผยแพร่ประกาศ หากย้อนไปดูมาตรการต่างๆที่รัสเซียประกาศใช้ เสริมสร้างความมั่นคง เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้ลงนามบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งครอบคลุมมาตรการต่างๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตของประเทศยังคงทำงานได้อย่างเสถียร ในกรณีที่รัสเซียเผชิญภัยคุกคามจากภายนอกจนทำให้ต้องขาดการเชื่อมต่อกับเครือข่ายทั่วโลก ต่อมาในวันที่ 16 พ.ย. นายเมดเวเดฟได้เซ็นคำสั่งห้ามซื้อซอฟต์แวร์ต่างชาติสำหรับใช้ในหน่วยงานระดับรัฐและท้องถิ่น จากนั้นในวันที่ 2 ธ.ค. ปธน.ปูตินได้เซ็นกฎหมายอีกฉบับ ที่กำหนดให้สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และสมาร์ททีวีทุกเครื่องที่ขายในรัสเซีย ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ผลิตในรัสเซีย โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนก.ค.ปีหน้า

สหรัฐพร้อมทำสงครามข้อมูล หากต่างชาติแทรกแซงการเลือกตั้งปีหน้า

สหรัฐพร้อมทำสงครามข้อมูล หากต่างชาติแทรกแซงการเลือกตั้งปีหน้า

หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานว่า หน่วยบัญชาการด้านไซเบอร์ของกองทัพสหรัฐกำลังพัฒนากลยุทธ์สำหรับการทำสงครามสารสนเทศ โดยมุ่งเป้าโจมตีไปยังเจ้าหน้าที่ของรัสเซีย หากพบว่ารัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐในปี 2020 รายงานดังกล่าวอ่างแหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐทั้งในอดีตและปัจจุบันว่า หน่วยบัญชาการด้านไซเบอร์ของสหรัฐจะโจมตีข้อมูลส่วนบุคคลของผู้นำระดับสูง และชนชั้นนำของรัสเซีย หากไม่หยุดแทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐ อย่างไรก็ตามการโจมตีเป้าหมายจะไม่รวมประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย เพราะอาจจะเป็นการกระทำที่ยั่วยุมากเกินไป โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวมาจากความพยายามของสหรัฐที่จะรับประกันว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้าจะไม่ถูกแทรกแซงโดยต่างชาติ ขณะเดียวกัน สหรัฐได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อบุคคลและองค์กรหลายแห่งของรัสเซียแล้ว โดยกล่าวหาว่า พวกเขาได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ผ่านมาในสหรัฐ ซึ่งทางรัสเซียก็ได้ปฏิเสธมาโดยตลอด

จีนเดินหน้าขยายขอบเขตการพัฒนาบล็อกเชนในด้านแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

จีนเดินหน้าขยายขอบเขตการพัฒนาบล็อกเชนในด้านแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า Lu Lei  รองหัวหน้าสำนักงานบริหารการแลกเปลี่ยนเงินตราของรัฐ (SAFE) ของจีน ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า จีนจะขยายขอบเขตโครงการต้นแบบแพลตฟอร์มการเงินข้ามแดนที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน โดยขณะนี้หน่วยงานกำกับจะเพิ่มการบูรณาการในด้านฟินเทค และตลาดการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้เข้มแข็งขึ้น รวมถึงรักษาความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูง “เราจะขยายขอบเขตโครงการต้นแบบและการทำบล็อกเชนสำหรับธุรกรรมข้ามแดน รวมถึงบริหารการกำกับดูแลในระดับมหภาค ในเวลาเดียวกันเราจะเร่งศึกษาเรื่องการปฏิรูปการแลกเปลี่ยนเงินตราโดยทำงานร่วมกับคริปโตเคอเรนซื การวางโครงสร้างกำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงิน และระบบเทคโนโลยีภายใต้สถานการณ์ใหม่ๆ” Lu กล่าว Lu กล่าวว่า แพลตฟอร์มบล็อกเชนด้านการเงินข้ามแดนของ SAFE ปัจจุบันเป็นเพียงโครงการเดียวที่ลงทะเบียนไว้กับ หน่วยงานบริหารไซเบอร์สเปซของจีน (CAC) ข้อมูลจากโกลบอล ไทม์ส ระบุว่า แพลตฟอร์มนี้เปิดตัวตั้งแต่เดือน มี.ค. ที่ผ่านมาใน 9 จังหวัดและเมือง จากนั้นในเดือน พ.ย. ก็ขยายเป็น 19 จังหวัดและเมือง จีนนั้นอยู่ระหว่างศึกษาแอปพลิเคชันเกี่ยวกับบล็อกเชน และปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ในด้านการเงินข้ามแดน โดยมุ่งเน้นเรื่องการบริหารความเสี่ยง รวมถึงการเปิดเสรีตลาดทุนต่อไป  

จีน-เกาหลีใต้ เดินหน้าเพิ่มความร่วมมือทางการค้า

จีน-เกาหลีใต้ เดินหน้าเพิ่มความร่วมมือทางการค้า

สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน ได้พบกับนายมูน แจอิน ประธานาธิบดี เกาหลีใต้ ที่เมืองเฉิงตู ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยการพบกันครั้งนี้ของผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ก็เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นทางการเมือง เศรษฐกิจ และความร่วมมือทางการค้าระหว่างกัน นายหลี่ กล่าวว่า ระหว่างจีนและเกาหลีใต้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการเป็นเพื่อนบ้านและพันธมิตรทางการค้าระหว่างกัน โดยทั้ง 2 ประเทศต่างก็กำลังเพลิดเพลินไปกับความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่มีการสานสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ขณะที่มูลค่าการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ก็สูงเกิน 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปีที่ผ่านมา ทั้งจีนและเกาหลีใต้ ต่างก็เป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมคล้ายๆ กัน คือมีประวัติศาสตร์การแลกเปลี่ยนกันมายาวนาน โดยในระยาว มองว่า การทำงานร่วมกับเกาหลีใต้จะทำให้เพิ่มความเชื่อมั่นทางการเมืองได้ เก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน ทำให้เกิดการขยายระหว่างคนสู่คน และวัฒนธรรม รวมถึงส่งเสริมความยั่งยืนและสุขภาพด้วย

บริษัทวิจัยคาดการณ์ธนาคารกลางอินโดนีเซียจะลดดอกเบี้ย 0.50% ในปี 2020

บริษัทวิจัยคาดการณ์ธนาคารกลางอินโดนีเซียจะลดดอกเบี้ย 0.50% ในปี 2020

เดอะ จาการ์ตา โพสต์ รายงานว่า หน่วยงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของฟิตช์ โซลูชัน ออกมาคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายประมาณ 0.50% ในปี 2020 เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต  ท่ามกลางความต้องการในประเทศที่อ่อนแอ ที่ทำให้การลงทุนชะลอตัว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาธนาคารกลางอินโดนีเซีย เพิ่งจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งก็คืออัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 7 วัน ไว้ที่ 5% เนื่องจากเงินเฟ้อยังไม่น่าเป็นห่วงและปัจจัยภายนอกยังมีเสถียรภาพ แต่ก็ยังคงตระหนักว่า จำเป็นต้องปรับปรุงเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว “มองไปข้างหน้า เราคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซียจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ตลอดทั้งปี 2020 เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเติบโตของสินเชื่อ โดยมีความต้องการในประเทศที่อ่อนแอเป็นแรงขับเคลื่อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยเราคาดการณ์ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจอินโดนีเซียในปี 2019 จะอยู่ที่ 5.1% และปรับขึ้นเป็น 5.2% ในปี 2020” ฟิตช์ โซลูชั่น เขียนไว้ในรายงานที่นำเสนอ

จีนจะแซงหน้าสหรัฐในการเป็นผู้นำเอไอใน 5-10 ปีข้างหน้า

จีนจะแซงหน้าสหรัฐในการเป็นผู้นำเอไอใน 5-10 ปีข้างหน้า

เซาท์ ไชน่า มอนิ่ง โพสต์ รายงานว่า แม้ขณะนี้จีนจะเป็นอันดับ 2 ด้านความสามารถแข่งขันในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) รองจากสหรัฐ แต่ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า หากการเติบโตด้านเอไอของจีนยังเป็นเช่นปัจจุบันต่อไป ก็คาดว่าจีนจะแซงหน้าขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แทนที่สหรัฐได้ ทั้งนี้ Tortoise Intelligence. จัดทำดัชนีเอไอโลก หรือ Global AI Index ออกมา โดยระบุว่า จำนวนบริษัทเอไอทั่วโลกเพิ่มขึ้นมาเท่าตัวในเวลา 4 ปี โดยปัจจุบันมีกว่า 20,000 บริษัท ที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีเอไอ ตั้งแต่ใช้ในรถยนต์ไร้คนขับไปจนถึงอัลกอริธึ่มด้านการแพทย์ โดยมากกว่า 10,000 บริษัทด้านเอไอ ก่อตั้งในปี 2015 ซึ่งสามารถดึงดูดเงินลงทุนได้ 37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสหรัฐเป็นผู้นำด้านการพัฒนาเอไอ  แต่จีนถือว่าเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตรวดเร็วมากด้านเอไอ และน่าจะแซงหน้าสหรัฐได้ใน 5-10 ปีข้างหน้า หากการเติบโตต่อจากนี้ยังเป็นเหมือนปัจจุบัน สำหรับการจัดทำดัชนีครั้งนี้ […]

ผู้ผลิตรถยนต์จะมีต้นทุนเพิ่ม 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากภาษีนำเข้าใหม่ USMCA

ผู้ผลิตรถยนต์จะมีต้นทุนเพิ่ม 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากภาษีนำเข้าใหม่ USMCA

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า สำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐ คาดการณ์ว่า จากการที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้ทบทวนกฎเกณฑ์การค้า จะส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์มีต้นทุนเพิ่มขึ้นเกือบ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากภาษีนำเข้าที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงทศวรรษข้างหน้า สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่ภูมิภาคนี้กำหนดไว้สูงขึ้นในช่วงทศวรรษหน้า การคาดการณ์นี้ อยู่ในประมาณการต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการใช้ข้อตกลงใหม่สหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ที่ได้รับการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ สำหรับรถยนต์จะได้รับการยกเว้นภาษีกันระหว่าง 3 ประเทศ ต้องมีสัดส่วนชิ้นส่วนที่ผลิตในภูมิภาคนี้ 75% เพิ่มขึ้นจากข้อกำหนดเดิมภายใต้ ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ซึ่งอยู่ที่ 62.5% พร้อมกับรายละเอียดใหม่เกี่ยวกับการใช้เหล็กและอลูมิเนียมอเมริกาเหนือ ทั้งนี้ 40-45% ของการผลิตยานยนต์จะต้องมาจากพื้นที่ที่จ่ายค่าแรงสูงกว่า 16 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมง ซึ่งก็คือในสหรัฐและแคนาดา ส่วนยานยนต์บางรายการที่ผลิตในเม็กซิโกเป็นหลัก โดยใช้ชิ้นส่วนจากเม็กซิโกและนอกภูมิภาคจะไม่มีสิทธิเข้าถึงการยกเว้นภาษีนำเข้า  

จีนเปิดตัวเอไอเพื่อสู้กับการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต

จีนเปิดตัวเอไอเพื่อสู้กับการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต

ไชน่าเดลี รายงานว่า จีนเปิดตัวบริการปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อป้องกันผู้คนจากการถูกหลอกลวงทางไซเบอร์ หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับโปรแกรมต้นแบบ โดยใช้ชื่อว่า เอไอ โรบอท หรือหุ่นยนต์ไอเอนั่นเอง โดย เอไอ โรบอท เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง สำนักงานสืบสวนคดีอาชญากรรม กระทรวงความมั่นคงสาธารณะและบริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ อาลีบาบา ที่ร่วมกันสร้างขึ้นมา เพื่อเตือนประชาชนเกี่ยวกับกิจกรรมออนไลน์ที่น่าสงสัยผ่านระบบเสียงและข้อความ ตัวอย่าง คือ หากตำรวจตรวจจับได้ว่ามีเบอร์โทรศัพท์ที่ถูกใช้บ่อยโดยผู้หลอกลวง บริการเอไอ โรบอท ก็จะโทรไปยังกลุ่มที่มีโอกาสจะตกเป็นเหยื่อ เพื่อเตือนพวกเขาว่า ข้อมูลที่พวกเขาได้รับเกี่ยวกับเรื่องโอนเงินเป็นการหลอกลวง นอกจากนี้ประชาชนจะสามารถเห็นเบอร์โทรพิเศษสำหรับต่อต้านการหลอกลวงของตำรวจได้ผ่านหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง “เทคโนโลยีเอไอสามารถช่วยพวกเขาประหยัดกำลังคน ปรับปรุงงานให้มีประสิทธิภาพ และยังสามารถช่วยคนจากการถูกหลอกลวงได้รวดเร็วขึ้นกว่าที่เคยทำได้” Liu Zhongyi หัวหน้าสำนักงานสืบสวนคดีอาชญากรรม กล่าว ทั้งนี้บริการเอไอ โรบอท ประสบความสำเร็จในการปกป้องผู้คนจากการถูกหลอกลวงมาแล้วกว่า 3,000 คนทุกวัน นับตั้งแต่เปิดตัวโปรแกรมต้นแบบ วันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา และบริการนี้ขยายวงครอบคลุมทั่วประเทศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา “หากประชาชนปฏิเสธคำเตือนของหุ่นยนต์เอไอ หรือไม่เชื่อหุ่นยนต์ เราจะโทรศัพท์ไปหาผู้มีโอกาสตกเป็นเหยื่อนด้วยเบอร์โทรศัพท์ของเราเพื่อช่วยพวกเขาจากการถูกหลอกลวง โดยเป้าหมายของการเตือนนี้ก็เพื่อป้องกันผู้คนจากการเป็นเหยื่อ […]