ค้าปลีกสหรัฐ 25 แห่ง เรียกร้อง ‘ทรัมป์’ ล้มแนวคิดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กลุ่มบริษัทธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐจำนวน 25 แห่ง ซึ่งรวมถึงวอลมาร์ท คอสต์โค และเบสท์บาย ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน กลุ่มบริษัทค้าปลีกได้ยื่นจดหมายต่อ ทรัมป์ โดยระบุว่า “เรารู้สึกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับครอบครัวของชาวอเมริกัน หลังจากที่ท่านได้ใช้มาตรการเยียวยาเศรษฐกิจภายใต้กฎหมายการค้าสหรัฐ มาตรา 301 โดยรัฐบาลของท่านได้ดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรมทางการค้าของจีนและได้ดำเนินมาตรการทางการค้าต่อจีนโดยฝ่ายเดียว” ผู้ประกอบการกังวลว่าการตรวจสอบครั้งนี้ หากนำไปสู่การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ก็จะทำให้ครอบครัวชาวอเมริกันมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น อีกทั้งอาจทำให้ระบบการเก็บภาษีของสหรัฐแย่ลง ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากมีรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ เตรียมประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ในวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี โดยมีเป้าหมายที่จะลงโทษจีนในเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
“อี้ กัง” จ่อนั่งเก้าอี้ผู้ว่าการแบงก์ชาติจีนคนใหม่ แทน “โจว เสี่ยวฉวน”
ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) เตรียมลงมติรับรองผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางจีนจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในวันนี้ โดยสื่อต่างประเทศระบุว่านายอี้ กัง รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีน มีแนวโน้มที่จะได้รับการเลือกให้เป็นผู้ว่าการธนาคารกลางจีนคนใหม่ ต่อจากนายโจว เสี่ยวฉวน ซึ่งจะเกษียณในเร็วๆนี้ นายอี้วัย 60 ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารกลางจีนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์ ณ University of Illinois และ ได้รับ Tenure (หรือสิทธิในการเป็นอาจารย์ประจำถาวร) ณ University of Indiana นายอี้มีผลงานทางวิชาการมากมายและได้ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการชั้นนำและมีความเชี่ยวชาญด้านนโยบายการเงินเป็นที่ยอมรับและก่อนที่จะมารับตำแหน่งรองผู้ว่า PBoC , นายอี้ได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของ SAFE หรือ State Administration of Foreign Exchange (SAFE) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ควบคุมกำกับการเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวน
จีนปรับโครงสร้างหน่วยงานการเงินครั้งใหญ่ เปิดทางแบงก์ชาติออกกฎคุมภาคการเงิน
จีนเดินหน้าปรับโครงสร้างหน่วยงานและสถาบันการเงินครั้งใหญ่ โดยรัฐบาลจีนมีแผนจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการธนาคารและประกันขึ้นมาใหม่ จากเดิมที่จีนมีคณะกรรมการ 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการกำกับดูแลภาคธนาคาร และ คณะกรรมการกำกับดูแลด้านการประกัน โดยได้ยื่นแผนดังกล่าวต่อที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (National People’s Congress: NPC) ชุดที่ 13 แล้ววานนี้ คณะกรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ในการตรวจสอบภาคการธนาคารและการประกัน ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงทางการเงิน รวมไปถึงการปกป้องสิทธิของผู้บริโภค แผนการผนวกรวมคณะกรรมการทั้ง 2 คณะ ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดของจีนในภาคอุตสาหกรรมนี้นับตั้งแต่ปี 2003 นอกจากนี้ยังเปิดทางให้ธนาคารกลางจีน (People’s Bank Of China: PBOC) ออกกฎเกณฑ์ในการดูแลภาคการเงิน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างที่มีเป้าหมายเพื่อปิดช่องโหว่ของการกำกับดูแล ตลอดจนควบคุมความเสี่ยงในภาคธุรกิจธนาคารและประกันที่มีมูลค่าถึง 43 ล้านล้านดอลลาร์
จีนทุนสำรองเงินต่างประเทศมีเสถียรภาพ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายผาน กงเฉิง รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีน ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวนอกรอบการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ครั้งที่ 13 ในวันนี้ว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและเงินหยวนที่มีเสถียรภาพนั้น จะช่วยให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนให้มีเสถียรภาพด้วยเช่นกัน รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีน กล่าวว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเวลา 12 เดือน ก่อนที่จะชะลอตัวลงในเดือนก.พ. โดยมีสาเหตุมาจากการแข็งค่าของดัชนีอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์ และดัชนีราคาพันธบัตรในตลาดโลกที่ร่วงลง ดัชนีอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 1.7% ในเดือนก.พ. ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐ ตลาดหุ้นยุโรป และตลาดหุ้นญี่ปุ่น ต่างก็ปรับตัวลงราว 4-5%
จีนส่งออกเดือนก.พ.พุ่ง 44.5% จับตาสหรัฐฯกีดกั้นการค้า
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กรมศุลกากรจีนเปิดเผยวันนี้ว่า ยอดส่งออกเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้น 44.5% เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 11.1% ขณะที่ยอดนำเข้าในเดือนเดียวกันเพิ่มขึ้น 6.3% ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 36.8% ส่งผลให้เกินดุลการค้า 33.7 พันล้านดอลลาร์ โดยปัจจัยที่ทำให้ยอดส่งออกขยายตัวอย่างรวดเร็วในเดือนดังกล่าวเป็นผลมาจากการเร่งระบายสินค้าคงคลังของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม และจากฐานตัวเลขที่ต่ำในปีก่อนหน้า การเกินดุลการค้าในเดือนดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์กังวลว่า จะเป็นปัจจัยสนับสนุนในสหรัฐฯดำเนินมาตรการโต้ตอบทางการกับจีน หลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบดุลการค้ามาโดยตลอด ‘ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างจีนและสหรัฐฯเป็นหนึ่งในประเด็นที่นักลงทุนในตลาดกังวล และการตั้งภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากจีนเป็นประเด็นที่ละเลยไม่ได้ ซึ่งนักลงทุนกังวลว่า อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการทำสงครามการค้าในวงกว้าง’ นางลาร์รี หู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่แมควอรี่ซิเคียวริตี้ส์กล่าว
ซีรี่ส์: จีนผู้ชนะ (ตอนที่7)
จีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกในเวลานี้ โดยจีดีพีของจีนอยู่ที่ 12-13 ล้านล้านดอลลาร์ เทียบกับสหรัฐอยู่ที่ 19 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ในแง่ของภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ (purchasing power parity) หรือ ประสิทธิผลของเงินที่คำนวณหาระดับการบริโภคสินค้าและบริการในจีน หรือในแต่ละประเทศ โดยใช้ราคาสินค้าและบริการในสหรัฐอเมริกาเป็นฐานในการคำนวณ และแสดงผลในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐซื้อแล้ว เศรษฐกิจจีนมีอำนาจซื้อมากที่สุดในโลก โดยภาวะเสมอภาคอำนาจซื้อเทียบเท่า 70 ล้านล้านดอลลาร์ และภาวะอำนาจซื้อของทั้งโลกอยู่ที่ 125 ล้านล้านดอลลาร์ จีนเป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก จีนมีการนำเข้าวัตถุดิบมากที่สุดในโลก ก่อนที่จะแปรรูปวัตถุดิบเหล่านั้นเพื่อเป็นสินค้าสำเร็จรูปเพื่อการส่งออก ปริมาณการส่งออกของจีนใหญ่กว่าทุกประเทศในโลก การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในช่วงที่ผ่านมาช่วยยกระดับการเติบโตของเศรษฐกิจที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิคด้วยกัน ทำให้บริเวณนี้มีจีดีพีรวมกัน 50 ล้านล้านดอลลาร์ จีนส่งออกไปตลาดเอเชียมากกว่าตลาดสหรัฐ ถึงแม้ว่าจีนจะมีอิทธิพลสูงในการค้า แต่เงินที่ใช้ในการค้ากลับเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐ เรื่องนี้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงถ้าหากว่าจีนต้องการที่จะเลี่ยงความเสี่ยงของเศรษฐกิจภายนอกที่เกิดจากวัฏจักรดอลล่าร์ ด้วยเหตุนี้การสร้างบทบาทหยวนให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ จีนมีความคิดที่จะสร้างเศรษฐกิจจีนให้ใหญ่ที่สุดในโลกในศตวรรษที่ 21 ผ่านการลงทุนใจโครงการเส้นทางสายใหม่ ซึ่งจะทำให้จีนเป็นศูนย์กลางของโลก ผ่านการเชื่อมโยง3ภูมิภาคของโลก คือเอเชีย ยุโรปและแอฟริกาเข้าด้วยกัน ดังได้กล่าวมาแล้ว ถ้าจีนจะเป็นใหญ่ทางเศรษฐกิจ เงื่อนไขที่สำคัญคือเงินหยวนต้องเป็นเงินสกุลหลักของโลก หรือเงินหยวนต้องปลดแอกจากการเป็นบริวารของเงินดอลล่าร์ให้ได้ ถ้าปลดแอกไม่ได้ เศรษฐกิจจีน หรือระบบการเงินจีนจะตกอยู่ใต้วงจรของนโยบายการเงินของสหรัฐ […]
จีนเล็งเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม 8.1% ปีนี้ แตะ 1.11 ล้านล้านหยวน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่ารัฐบาลจีนจะเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมของประเทศในปี 2018 ราว 8.1% สู่ระดับ 1.11 ล้านล้านหยวน หรือ 1.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการปรับเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมในปีนี้ในอัตราที่สูงกว่าปีก่อน ที่ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 7% ทั้งนี้รัฐบาลจีนได้เปิดเผยแผนการดังกล่าวกับสื่อมวลชนก่อนที่การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) หรือรัฐสภาจีน ครั้งที่ 13 จะเริ่มเปิดฉากขึ้นในวันนี้
จับตาประชุมสภาประชาชนจีน ทบทวนแก้ธรรมนูญ-ร่างกฎหมาย
สภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) เปิดเผยว่า การประชุมประจำปีของสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ครั้งที่ 13 มีกำหนดจัดขึ้นในวันนี้ที่ 5 มี.ค. โดยจะมีการประชุมต่อเนื่องกันเป็นเวลา 15 วันครึ่ง นายจาง เย่สุย โฆษกการประชุมฯ กล่าวในการแถลงข่าวที่กรุงปักกิ่งว่า การประชุมประจำปีของสภาประชาชนแห่งชาติจีนครั้งที่ 13 นี้ นอกจากจะตรวจสอบรายงานการทำงานของรัฐบาลแล้ว ที่ประชุมยังจะดำเนินการทบทวนเรื่องของการแก้ไขธรรมนูญ, ร่างกฎหมาย และแผนการปฏิรูปสถาบันของรัฐด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมยังจะพิจารณาคัดเลือกและตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกองค์กรของรัฐ ทั้งนี้ การประชุมประจำปีของสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ครั้งที่ 13 จะเสร็จสิ้นในช่วงเช้าของวันที่ 20 มี.ค.นี้
จีนขู่งัดมาตรการโต้สหรัฐหลังปรับขึ้นภาษี AD อลูมิเนียมจากจีน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่านายหวัง เหอจุน รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของจีนเปิดเผยในวันนี้ว่า จีนไม่พอใจเป็นอย่างมากต่อกรณีที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ดำเนินการตรวจสอบและปรับขึ้นภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมจากจีน พร้อมระบุว่า จีนจะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ นายหวังกล่าวว่า การตรวจสอบและการเรียกเก็บภาษีนำเข้าดังกล่าวถือเป็นการละเมิดกฎขององค์การการค้าโลก (WTO) และสร้างความเสียหายอย่างมากต่อผลประโยชน์ของบริษัทจีน เมื่อวานนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนได้ประกาศขึ้นอัตราการเรียกเก็บภาษีเพื่อตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ต่อผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมฟอยล์ของจีน สู่ระดับ 106.09% จากระดับ 48.64% และขึ้นภาษีตอบโต้การอุดหนุนตลาด (CVD) สู่ระดับ 80.97% จากระดับ 17.16%
จีนเดินหน้านโยบายการคลังเชิงรุก แต่ยังใช้นโยบายการเงินรัดกุม
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนยืนยันว่า จีนจะดำเนินนโยบายการคลังเชิงรุก หรือ มุ่งส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างรัดกุมในปี 2018 โดยคณะกรรมการฯระบุว่า จีนจะดำเนินนโยบายปฏิรูปด้านอุปทานต่อไป ด้วยการเร่งรัดการสร้างนวัตรกรรม การปฏิรูปปัจจัยพื้นฐานในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่สำคัญ และดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงลดจำนวนคนยากจน และรักษาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ จีนมีนโยบายที่จะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาส่วนภูมิภาค พัฒนาความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจต่างๆ กระตุ้นการบริโภค และการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่นโยบายการเงินนั้น จีนจะให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และดำเนินนโยบายการเงินอย่างรอบคอบรัดกุมเพื่อป้องกันความผันผวนในภาคการเงิน