ทรัมป์ชูบทบาทของอินเดียในเอเชีย

ทรัมป์ชูบทบาทของอินเดียในเอเชีย

ตลอดระยะเวลาการเดินทางมาเยือนเอเชียเป็นเวลา 12 วันของประธานาธิบดีทรัมป์ ปรากฎว่าทรัมป์เรียกภูมิภาคนี้ว่าอินโดแปซิฟิค แทนที่จะเรียกเอเชีย หรือเอเชียแปซิฟิค ทรัมป์ใช้คำว่าอินโดแปซิฟิคเป็นครั้งแรกในการพบปะกับผู้นำธุรกิจของเอเปคในวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ประเทศเวียดนาม โดยบอกว่าในภูมิภาคอินโดแปซิฟิคนี้ ประเทศที่มีเอกราชต้องสามารถที่จะเจริญก้าวหน้าอย่างมีเสรีภาพ และสันติภาพ และทุกประเทศต้องเล่นตามกฎกติกา เมื่อทรัมป์เดินทางต่อมาถึงฟิลิปปินส์ ทรัมป์ใช้ศัพท์คำว่าอินโดแปซิฟิคซ้ำกันหลายครั้ง การใช้คำศัพท์อินโดแปซิฟิคสะท้อนนโยบายของสหรัฐฯที่ต้องการให้อินเดียมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคเอเชีย โดยในทางความมั่นคงแล้ว สหรัฐฯต้องการเห็นอินเดียเล่นบทบาทที่เด่นขึ้นในการทานอำนาจของจีน นาย C. Raja Mohan ผู้อำนวยการของ Carnegie India กล่าวว่า การใช้ศัพท์คำว่าอินโดแปซิฟิคของทรัมป์เป็นเรื่องที่ดีสำหรับอินเดีย เพราะว่ามันสร้างโอกาสให้บทบาทของอินเดียเพิ่มขึ้นในการถ่วงดุลอำนาจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค หรือพูดกันง่ายๆ สหรัฐฯต้องการให้อินเดียมีบทบาทเพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอินเดียเป็นไปในทิศทางที่ไม่สู้ดีนัก อินเดียไม่สนับสนุนโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ของจีน เพราะเห็นว่าจีนไปสนิทชิดเชื้อกับปากีสถานมากเกินไป โดยจีนให้เงินสนับสนุนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของปากีสถานบนพื้นที่อินเดียและปากีสถานมีความขัดแย้งในการอ้างกรรมสิทธิ์ นอกจากนี้ จีนและอินเดียมีปัญหาเรื่องพรมแดนกันมาเป็นเวลาช้านาน นโยบายต่างประเทศ หรือ Look East Policy ของอินเดียได้ให้ความสำคัญกับเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากยิ่งขึ้น เพราะว่าจีนมองตัวเองว่าเป็นมหาอำนาจของภูมิภาคเหมือนกับจีน สหรัฐฯมีความสัมพันธ์กับอินเดียแนบแน่นมากยิ่งขึ้น เพื่อใช้อินเดียในการคานอิทธิพลของจีน การเดินทางเยือนเอเชียของทรัมป์ในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะส่งสัญญานว่าสหรัฐฯยังคงสนใจในภูมิภาคนี้ ท่ามกลางอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นและกำลังทดแทนอิทธิพลของสหรัฐฯ ทรัมป์และนายกรัฐมนตรีนาเรนดรา โมดี้ของอินเดียมีโอกาสพบกันสองต่อสองที่กรุงมนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ในวันที่ […]

สัมภาษณ์สด Nilesh Shah กรรมการผู้จัดการ Kotak Mahindra Asset Management

สัมภาษณ์สด Nilesh Shah กรรมการผู้จัดการ Kotak Mahindra Asset Management

Nilesh Shah กรรมการผู้จัดการของ Kotak Mahindra Asset Management Co ให้สัมภาษณ์กองทุนบัวหลวงว่า เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตเป็นเท่าตัวจากระดับปัจจุบันในอีก 7-8 ปีข้างหน้า ทำให้ตลาดหุ้นจะเติบโตเป็นเงาตามตัว ในขณะเดียวกันมีโอกาสสูงในการลงทุนในหุ้นมิดแค็ปของอินเดียที่จะปรับตัวกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอนาคต ในช่วง1990 เศรษฐกิจอินเดียและเศรษฐกิจจีนมีขนาดเท่าๆกัน แต่เวลานี้เศรษฐกิจจีนใหญ่กว่าอินเดีย 5 เท่า โดยการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อมทางการเงินเป็นปัจจัยที่สำคัญ จีนมีระบบเครดิตเมื่อเทียบกับจีดีพีที่ระดับ 211% เทียบกับเพียง 57% สำหรับอินเดีย ด้วยเหตุนี้อินเดียจึงมีโอกาสเติบโตสูงทางเศรษฐกิจที่จะได้รับการขับเคลื่อนโดยภาคการเงิน รัฐบาลอินเดียกำลังเปลี่ยนกฎเกณฑ์และระเบียบต่างๆเพื่อที่จะสนับสนุนการออมทางการเงิน เพื่อนำไปสู่การลงทุน และการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ นาย Shah กล่าวว่า ในปี 1990 เศรษฐกิจอินเดียมีขนาด 250,000 ล้านดอลลาร์ แต่ทุกว่านี้เศรษฐกิจจีนมีขนาดเติบโตขึ้นอยู่ระดับ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดการได้ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะโตเป็นเท่าตัวของระดับปัจจุบันในอีก 7-8 ปีข้างหน้า เมื่อเศรษฐกิจเติบโตดีเป็นอีกเท่าตัวใน 7-8 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นจะเติบโตดีได้เช่นเดียวกัน สำหรับโอกาสการลงทุนในหุ้นมิดแค็ป นายชาห์กล่าวว่าเศรษฐกิจอินเดียมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากไปในทิศทางกับเทรนด์ของโลก 20 […]

เศรษฐกิจอินเดียขึ้นอันดับ 3 ของโลกในปี 2028

เศรษฐกิจอินเดียขึ้นอันดับ 3 ของโลกในปี 2028

เศรษฐกิจอินเดียจะกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลก ตามหลังสหรัฐและจีนภายในปี 2028 เนื่องจากภาคการเงินที่เติบโตขึ้น รวมทั้งตลาดผู้บริโภคที่ขยายตัวตามจำนวนประชากรของอินเดีย รายงานของ Bank of America-Merill Lynch ระบุว่าเศรษฐกิจอินเดียจะแซงหน้าเศรษฐกิจของฝรั่งเศส และอังกฤษในปี 2019 ภายในปี 2027 ราคารถที่ถูกที่สุดจะเทียบเท่ารายได้เฉลี่ยต่อตัวต่อปีของคนอินเดีย เมื่อเทียบกับ 2.5 เท่า ในตอนนี้ ขณะที่เป็น 14.5 เท่าของเฉลี่ยรายได้ต่อหัวต่อปีในปี 2000 รายงานของ Bank of America-Merill Lynch บอกว่า ภายในปี 2028 ชาวนาเกือบจะทั้งหมดจะกลายเป็นผู้ที่มีรายได้ระดับกลาง โดยที่ประชากรกลุ่มนี้จะมีจำนวนเท่ากับประชาชนของรัสเซีย และจะอาศัยอยู่ในเมือง ในปี 2028 Bank of America-Merrill Lynch ทำนายว่าราคาน้ำมันจะอยู่ที่ 68 ดอลลาร์ต่อบาเรลล์ และค่าเงินรูปีจะอ่อนตัวลง 3% ระหว่างนี้ไปจนถึงปีนั้น เศรษฐกิจอินเดียจะมีภาคบริการเป็นตัวขับเคลื่อน […]

ลงทุนเพื่อการเกษียณใน New India กับ B-INDIAMRMF

ลงทุนเพื่อการเกษียณใน New India กับ B-INDIAMRMF

นโยบาย Smart Cities ของอินเดียใน 3 ข้อ

นโยบาย Smart Cities ของอินเดียใน 3 ข้อ

ประเทศอินเดียถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มี “ศักยภาพ” ในการเติบโตทางธุรกิจเป็นอันดับต้นๆของโลก ด้วยปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะด้วยจำนวนประชากรที่มีถึงกว่า 1,200 ล้านคน ซึ่งอยู่อันดับที่ 2 ของโลก เป็นรองเพียงสาธารณรัฐประชาชนจีนเท่านั้น (ข้อมูล ณ สิ้นเดือน กรกฎาคม 2560) นอกจากนี้โครงสร้างประชากรของอินเดียยังมีความเหมาะสมต่อการก้าวกระโดดทางเศรษฐกิจ ด้วยสัดส่วนประชากรวัยแรงงาน (15-64 ปี) ประมาณ 66% โดยมีอายุเฉลี่ยประชากรเพียง 27.6 ปี ซึ่งทำให้แดนภารตะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างโดดเด่นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ทั้งนี้ อินเดียมี GDP ประมาณ 2.3ล้านล้านดอลล่าร์ มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 7 ของโลกและมีการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในรอบทศวรรษล่าสุดเฉลี่ยที่ปีละ 7.5% โดยล่าสุดอยู่ที่ 7.1% ณ สิ้นปี 2559 ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก แม้รายได้เฉลี่ยต่อประชากร (GDP per capita) ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำที่ประมาณ1,861.5 ดอลลาร์ ในปี […]

ตลาดหุ้นอินเดียแรลลี่ “ด้วยคุณภาพ”

ตลาดหุ้นอินเดียแรลลี่ “ด้วยคุณภาพ”

นักลงทุนต่างชาติอาจจะมีความระมัดระวังในการแรลลี่ของตลาดหุ้นอินเดียในช่วงเวลานี้ แต่ Cartica Management LLC ซึ่งบริหารทรัพย์สิน 3,200 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก มีความเห็นว่าตลาดหุ้นอินเดียกำลังอยู่ในขาขึ้นแรลลี่อย่างมีคุณภาพ Teresa Barger ผู้ร่วมก่อตั้ง และซีอีโอของ Cartica Management กล่าวว่า กำไรต่อหุ้นมีการเติบโตในบริษัทของอินเดีย อย่างน้อยในบริษัทที่ทาง Cartica Management ได้ลงทุน สามารถมองได้ว่านี้เห็นการแรลลี่ที่มีคุณภาพ ด้วยเหตุนี้ในฐานะที่เป็นนักลงทุนระยะยาว จึงไม่มีความเห็นกังวลใจกับการสะดุดของตลาดซึ่งอาจจะเกิดขึ้นบ้าง ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา Teresa Barger เปิดเผยว่า กองทุนของเธอได้ลงทุนใน Cholamandalam Finance อย่างเป็นกอบเป็นกำ “เราเข้าไปลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพสูง ที่มีสปอนเซอร์ที่มีความซื่อสัตย์ เรามีความนิยมชมชอบกลุ่ม Murugappa” Teresa Bargerกล่าว “Cholamandalam มีตลาดนิช โดยใช้ข้อมูลเพื่อช่วยในการออกโปรดักส์ใหม่ เราชอบการที่พวกเขาเข้าไปหาเอสเอ็มอี กับขบวนการปล่อยเครเดิตที่เหนือชั้น” ผู้จัดการกองทุนหลายคนบอกว่าฤดูการประกาศผลประกอบการนี้ดีกว่าที่คาดมาก และการประเมินราคาหุ้นของตลาดอาจจะไม่ตึงตัวเกินไป Taher Badshah หัวหน้าฝ่ายการลงทุนหุ้นของ Invesco Mutual […]

หลังครบ 1 ปีกับการยกเลิกธนบัตรอินเดีย (ต่อ)

หลังครบ 1 ปีกับการยกเลิกธนบัตรอินเดีย (ต่อ)

นโยบายยกเลิกธนบัตรของรัฐบาลโมดี้ในช่วง 1 ปีเต็มที่ผ่านมาอาจจะทำให้เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลงบ้าง แต่ตลาดหุ้นอินเดียเดินหน้าไปในทิศทางขาขึ้น ดัชนี Nifty 50 Index ซึ่งเป็นเบนช์มาร์คของ National Stock Exchange ของอินเดียทะยานสูงขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว Nilesh Shah กรรมการผู้จัดการของ Kotak Mutual Fund ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนหน้าที่มีการใช้นโยบายยกเลิกธนบัตรเก่าเพื่อแลกธนบัตรใหม่เพื่อแก้ปัญหาการเลี่ยงภาษี หรือตลาดมืด คนอินเดียส่วนมากเก็บเงินเอาไว้ที่บ้าน ซุกใต้หมอน หรือใต้เตียง แต่หลังจากที่มีการใช้นโยบายยกเลิกธนบัตรเก่า คนอินเดียเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงพฤฒิกรรมด้วยการโยกเงินสดเข้าไปในกองทุนรวมต่างๆ ทำให้กองทุนรวมมีการเจริญเติบโต และมีผลทำให้มีเม็ดเงินใหม่ๆ ไหลเข้าตลาดหุ้น เขาบอกว่า ผลกระทบอีกประการหนึ่งของนโยบายยกเลิกธนบัตรคือทำให้คนอินเดียเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงิน และตลาดการเงินมากยิ่งขึ้น โดยที่พวกเขาได้เรียนรู้ว่าการลงทุนในกองทุนรวมช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และให้ผลตอบแทนโดยที่นักลงทุนไม่ต้องกังวลใจอะไรมาก The Financial Times รายงานในบทความชื่อ “India’s stock market learns to live without foreigners” ในวันที่ […]

หลังครบ 1 ปีกับการยกเลิกธนบัตรอินเดีย (ต่อ)

หลังครบ 1 ปีกับการยกเลิกธนบัตรอินเดีย (ต่อ)

นโยบายยกเลิกธนบัตรของรัฐบาลโมดี้ในช่วง 1 ปีเต็มที่ผ่านมาอาจจะทำให้เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลงบ้าง แต่ตลาดหุ้นอินเดียเดินหน้าไปในทิศทางขาขึ้น ดัชนี Nifty 50 Index ซึ่งเป็นเบนช์มาร์คของ National Stock Exchange ของอินเดียทะยานสูงขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว Nilesh Shah กรรมการผู้จัดการของ Kotak Mutual Fund ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนหน้าที่มีการใช้นโยบายยกเลิกธนบัตรเก่าเพื่อแลกธนบัตรใหม่เพื่อแก้ปัญหาการเลี่ยงภาษี หรือตลาดมืด คนอินเดียส่วนมากเก็บเงินเอาไว้ที่บ้าน ซุกใต้หมอน หรือใต้เตียง แต่หลังจากที่มีการใช้นโยบายยกเลิกธนบัตรเก่า คนอินเดียเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงพฤฒิกรรมด้วยการโยกเงินสดเข้าไปในกองทุนรวมต่างๆ ทำให้กองทุนรวมมีการเจริญเติบโต และมีผลทำให้มีเม็ดเงินใหม่ๆ ไหลเข้าตลาดหุ้น เขาบอกว่า ผลกระทบอีกประการหนึ่งของนโยบายยกเลิกธนบัตรคือทำให้คนอินเดียเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงิน และตลาดการเงินมากยิ่งขึ้น โดยที่พวกเขาได้เรียนรู้ว่าการลงทุนในกองทุนรวมช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และให้ผลตอบแทนโดยที่นักลงทุนไม่ต้องกังวลใจอะไรมาก The Financial Times รายงานในบทความชื่อ “India’s stock market learns to live without foreigners” ในวันที่ […]

หลังครบ 1 ปีกับการยกเลิกธนบัตรอินเดีย

หลังครบ 1 ปีกับการยกเลิกธนบัตรอินเดีย

หนึ่งปีหลังจากที่รัฐบาลโมดี้ประกาศยกเลิกธนบัตรจำนวน 18 ล้านล้านรูเบิ้ล หรือ 86% ของเงินรูปีทั้งหมดที่หมุนเวียนในระบบ ปรากฎว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจอินเดียของมาตรการนี้ยังคงมีอยู่ นายกรัฐมนตรี นาเรนดรา โมดี้ ต้องการใช้นโยบายยกเลิกธนบัตรเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาตลาดมืด การเลี่ยงการจ่ายภาษี ธนบัตรปลอม รวมทั้งการเร่งสู่ระบบการชำระเงินแบบออนไลน์ แต่นโยบายนี้สร้างความปั่นป่วนพอสมควรให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคชนบทที่คนยังไม่เข้าถึงธนาคาร หรืออินเทอร์เน็ต วันที่ 8 พฤศจิกายนนี้จะเป็นวันครบรอบ 1 ปีที่นโยบายยกเลิกธนบัตรได้ประกาศใช้ โดยบังคับให้ประชาชนเอาธนบัตรเก่ามาแลกธนบัตรใหม่ ตอนนี้สถานการณ์เริ่มกลับคืนสู่สภาพปกติ โดยมีธนบัตรใหม่กลับเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 15.89 ล้านล้านรูปี นอกจากมาตรยกเลิกธนบัตรแล้ว นโยบายภาษีใหม่ (Goods and Services Tax) ที่รัฐบาลโมดี้ประกาศใช้ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาก็ทำให้เกิดความอลเวงพอสมควรในการจัดเก็บภาษีที่บังคับใช้ทั่วประเทศเพื่อให้ทุกรัฐของอินเดียมีระบบภาษีรูปแบบเดียวกัน นับว่าเป็นความกล้าหาญของโมดี้ที่ใช้นโยบายยกเลิกธนบัตร และนโยบายภาษีใหม่ ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นที่นิยม และอาจจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงแรก โดยเศรษฐกิจในไตรมาสระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายนปี 2017 มีอัตราเติบโตที่ 5.7% เทียบกับ 6.1%ในไตรมาสแรกระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม อย่างไรก็ตาม ทาง DBS Bank ของสิงคโปร์มีรายงานว่า แม้ว่าการใช้นโยบายยกเลิกธนบัตรอาจจะมีผลกระทบระยะแรก […]

อินเดียอัด 32,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มทุนแบงก์

อินเดียอัด 32,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มทุนแบงก์

ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียประกาศว่าจะใช้เงิน 2.11 ล้านล้านรูปี หรือ 32,000 ดอลลาร์ล้านเพื่อเพิ่มทุนระบบธนาคารของรัฐในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า เม็ดเงินมหาศาลที่จะใส่เข้าไปเพื่อเพิ่มทุนระบบธนาคารของรัฐนี้ สูงกว่าที่รัฐบาลโมดีได้ให้สัญญาเอาไว้ถึง 10 เท่า ในการไฟแนนซ์การเพิ่มทุนแบงก์ของรัฐ รัฐบาลอินเดียจะก่อหนี้ด้วยการออกพันธบัตรมูลค่า 1.35 ล้านล้านรูปี ส่วนธนาคารของรัฐจะระดมเงินผ่านงบประมาณที่จะได้รับการสนับสนุนและจากตลาดการเงิน Rajiv Kumar เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังอินเดียเปิดเผยว่า นอกจากนี้รัฐบาลมีแผนที่จะลงทุน 108,000 ล้านเพื่อที่จะสร้างถนนไฮเวย์ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า การเพิ่มทุนของแบงก์รัฐในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้แบงก์มีฐานเงินทุนเพียงพอในการปล่อยกู้เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามทาง Fitch Ratings Ltd. คาดการว่าแบงก์รัฐของอินเดียต้องการเงินทุนอีก 62,000 ล้านดอลาร์ในปี 2019 เพื่อที่จะรองรับความพอเพียงของฐานเงินกองทุนตามกฎของ Basel III ระบบธนาคารของอินเดียยังคงมีหนี้เสียอยู่ทำให้ทางรัฐบาลโมดีต้องเข้าไปจัดการเพิ่มทุน รวมทั้งใช้เงิน 100,000 ล้านรูปีเพื่อซื้อหุ้นแบงก์