ห้างค้าปลีกใช้เอไอจับใบหน้าลูกค้า ศึกษาพฤติกรรม

ห้างค้าปลีกใช้เอไอจับใบหน้าลูกค้า ศึกษาพฤติกรรม

ห้างค้าปลีกกำลังใช้เทคโนโลยีด้านเอไอเพื่อที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับรับรู้ใบหน้า (facial recognition) ของลูกค้า ในขณะที่ลูกค้ากำลังเดินช็อปปิ้งอยู่ CNBC รายงานว่า Mark Lunt ผู้บริหารของ Jardine One Solution บอกว่าห้างค้าปลีกใหญ่ๆกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อที่จะรู้จักลูกค้าให้ดีขึ้น โดยใช้เอไอเพื่อที่ตรวจสอบดูว่าลูกค้าใดเข้าไปช็อปในห้าง และมีพฤฒิกรรมในการช็อปอย่างไร บริษัท Jardine One Solutionกำลังทำงานให้ธุรกิจค้าปลีก โดยใช้เทคโนโลยีในการรับรู้ใบหน้าของคน เพื่อที่จะรวบรวมโปรไฟล์ และการเคลื่อนไหวของลูกค้า ข้อมูลที่ไอเอจะรวบรวมมีทั้ง มีลูกค้ากี่คนเข้าห้าง ลูกค้าอายุเท่าใด มีเชื้อชาติอะไร มีเพศอะไร เพื่อที่จะใช้ข้อมูลนี้ในการให้บริการลูกค้าได้ตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ห้างค้าปลีกสามารถใช้เอไอเพื่อที่จะปรับเสียงดนตรีในห้างให้เหมาะกับบรรยากาศ หรืออารมณ์ของคนที่มาช็อปปิ้ง อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดว่าห้างค้าปลีกจะใช้ข้อมูลที่รวบรวมมาได้อย่างไร และมีการปกป้องข้องมูลนั้นอย่างไร. “เทคโนโลยีไม่ได้เป็นอุปสรรคกับระบบที่กำลังใช้อยู่ แต่ปัญหาใหญ่คือเรื่องสิทธิส่วนบุคคล หรือความกังวลใจด้านวัฒนธรรม” Lunt กล่าว การใช้เซ็นเซอร์ และกล้องในการรวบรวมข้อมูลของลูกค้าที่มาช็อปกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว หรือสิทธิส่วนบุคคล ในขณะที่ห้างค้าปลีกกำลังลงทุนด้วยเงินจำนวนมากเพื่อที่จะเก็บข้อมูล และปกป้องข้อมูลไม่ให้โดนแฮ็ค หรือเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่น

Tencent ก้าวขึ้นท็อป 5 บริษัทใหญ่ที่สุดของโลก

Tencent ก้าวขึ้นท็อป 5 บริษัทใหญ่ที่สุดของโลก

Tencent ในสัปดาห์ที่ผ่านมาสร้างเรื่องฮือฮาไว้สองเรื่อง เรื่องแรกก็คือในวันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา Tencent ได้กลายเป็นบริษัทเอเชียรายแรกที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market cap) สูงเกิน 5 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 5.107 แสนล้านดอลลาร์พุ่งเข้าไปใกล้ Facebook ซึ่งมีมูลค่าตลาด 5.2014 แสนล้านดอลลาร์ และทิ้งห่างบริษัทร่วมชาติอย่าง Alibaba ซึ่งมีมูลค่าตลาด 4.7415 แสนล้านดอลลาร์ ต่อมาในวันที่ 21 พฤศจิกายน Tencent ก็สร้างสถิติด้วยมูลค่าตลาดที่แซงหน้า Facebook ด้วยมูลค่าตลาดที่เพิ่มขึ้นไปเป็น 5.345 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ในวันเดียวกันมูลค่าตลาดของ Facebook อยู่ที่ 5.194 แสนล้านดอลลาร์ ทั้งนี้บริษัทที่มูลค่าสูงสุดในโลกยังคงเป็น Apple Inc. ตามมาด้วย Aphabet, Microsoft และ Amazon Tencent ถึงแม้จะรู้จักกันดีในประเทศจีนผ่านบริการ “วีแซท” โดยมีผู้ใช้บริการมากกว่า […]

ตลาดหุ้นของตลาดเกิดใหม่ร้อนแรงปีนี้

ตลาดหุ้นของตลาดเกิดใหม่ร้อนแรงปีนี้

ตลาดหุ้นของสหรัฐฯยังคงทะยานต่อเนื่อง ทำสถิตินิวไฮมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาด S&P 500 ขึ้นไปแตะระดับ 2,600 จุดเป็นครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ความจริงแล้วตลาดหุ้นเกิดใหม่เป็นดาวรุ่งตัวจริงของปีนี้ MSCI Emerging Markets Index หรือดัชนีของตลาดเกิดใหม่ MSCI ในปีนี้ขึ้นไปแล้ว 34% เทียบกับ 9% ในปีที่แล้ว และเทียบกับตลาด S&P 500 ขึ้นไปเพียง 16% ในปีนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้หุ้นของตลาดเกิดใหม่พุ่งขึ้นสูงเพราะว่าหลายๆประเทศเริ่มมีเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ฐานะการคลังดีขึ้นและกำลังผ่านสู่ขบวนการปฏิรูป ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย อินเดีย และจีน มีเม็ดเงิน 85,000 ล้านดอลลาร์ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปีทำให้ราคาหุ้นของตลาดเกิดใหม่สูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นตลาดอินเดีย จีน บราซิล ฮ่องกง และไทยด้วย เมื่อพูดถึงระดับราคาแล้ว ตลาดเกิดใหม่ยังคงถูกเมื่อเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้ว โดยค่า P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 12 เท่า เทียบกับ 18 เท่าสำหรับตลาดสหรัฐ […]

เตรียมพร้อม 4 ด้านก่อนการลงทุน LTF

เตรียมพร้อม 4 ด้านก่อนการลงทุน LTF

รู้อย่างงี้…10 ปีที่แล้ว ลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ดีกว่า!!

รู้อย่างงี้…10 ปีที่แล้ว ลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ดีกว่า!!

ลงทุน 1,000 ดอลลาร์เมื่อ 10 ปีที่แล้วในหุ้นชั้นนำของสหรัฐ จะออกดอกออกผลอย่างไร? มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดระหว่างนักลงทุนที่ซื้อหุ้นในบริษัทที่อยู่ในเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) และบริษัทที่อยู่ในเศรษฐกิจเก่า (Old Economy) ถ้าหากว่านักลงทุนใช้เงิน 1,000 ดอลลาร์เมื่อ 10 ปีที่แล้วเพื่อลงทุนในบริษัท Netflix, Amazon, Apple, และ Starbucks เงินที่ลงทุนนั้นจะงอกเงยอย่างเป็นกอบเป็นกำเป็น 51,966 ดอลลาร์ สำหรับ Netflix ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการดูหนังออนไลน์ 12,398 ดอลลาร์สำหรับ Amazon 6,228 ดอลลาร์สำหรับ Apple และ 4,687 ดอลลาร์สำหรับ Starbucks นี้คือสิ่งที่คุณปู่ Warren Buffet พูดมาตลอดว่า เวลาลงทุนให้ถือหุ้นยาวไปเลย เพราะว่าเราไม่ได้ซื้อหุ้น แต่เรากำลังซื้อกิจการที่ดี Netflix, Amazon, Apple และ Starbucks […]

หุ้นเทคฯจีน ไล่หุ้นกลุ่ม “FANG” มาติดๆ

หุ้นเทคฯจีน ไล่หุ้นกลุ่ม “FANG” มาติดๆ

ที่ผ่านมาหุ้น FANG หรือ Facebook, Amazon, Netflix และ Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ได้เพิ่มสูงขึ้น 58%, 52%, 58% และ 32% ตามลำดับ โดยทำให้มูลค่าตลาดรวมรวมกันเพิ่มขึ้นถึง 600,000 ล้านดอลลาร์ ถึงแม้ว่า FANG จะพุ่งขึ้นสูงมาก สร้างความร่ำรวยให้นักลงทุนกันถ้วนหน้า แต่ยังมีหุ้นเทคโนโลยีกลุ่มอื่นที่ฉายแสงเจิดจรัสไม่แพ้หุ้นกลุ่ม FANG หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีของจีนไม่ว่าจะเป็น Sina, Tencent, Alibaba และ Baidu กำลังท้าทายหุ้นกลุ่ม FANG ของสหรัฐ ตั้งแต่ต้นปีมา หุ้น Sina เพิ่มสูงขึ้น 84% ส่วนหุ้นของ Tencent และ Alibaba เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว หรือ 127% และ 117% ตามลำดับ […]

มูดีส์ปรับเพิ่มเร็ทติ้งอินเดีย เพราะมั่นใจแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจ

มูดีส์ปรับเพิ่มเร็ทติ้งอินเดีย เพราะมั่นใจแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจ

ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทางมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ได้ประกาศเร็ทติ้งของความน่าเชื่อถือในฐานะการเงินของประเทศอินเดียเพิ่มขึ้น ส่วนบริษัทสแตนดาร์ด & พัวร์ และฟิตช์เร็ทติ้งยังไม่ได้ขยับอะไร มูดี้ส์เพิ่มเร็ทติ้งความน่าเชื่อถือในเครดิตของของอินเดียจาก Baa3 เป็นBaa2 หรือ 2 ขั้นเหนือระดับที่ลงทุนได้ หรืออินเวสเม้นท์เกรด ถ้าหากว่า เร็ทติ้งต่ำกว่าอินเวสเม้นท์เกรด หมายความว่าบอนด์ หรือพันธบัตรที่ออกจะถูกจัดชั้นเป็นจั๊งค์ หรือขยะ ซึ่งมีความเสี่ยงว่าจะมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ การปรับเพื่มเร็ทติ้งของอินเดียครั้งแรกในรอบ 14 ปี สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเริ่มมีความมั่นใจในทิศทางการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และความเข้มแข็งของสถาบันของอินเดีย ที่ผ่านมา เร็ทติ้งของอินเดียอยู่ระดับ 1 ขั้นเหนืออินเวสเม้นท์เกรด เพราะว่าอินเดียมีหนี้สูง (69.58%ต่อจีดีพีในปี2016) มีความอ่อนแอต่อราคาน้ำมันที่สูงในตลาดโลก เพราะว่าอินเดียนำเข้าน้ำมันสูง ทำให้เกิดผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัด งบประมาณแผ่นดินที่ขาดดุล และค่าเงินรูปีที่ผันผวน รวมทั้งหนี้ในระบบสถาบันการเงินยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่มาระยะหลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ระดับต่ำ บวกกับมาตรการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของรัฐบาลโมดี้ที่เริ่มเห็นผล ทำให้มีความมั่นใจว่าอินเดียจะสามารถเพิ่มรายได้ภาษี เศรษฐกิจจะเติบโตในระดับสูงต่อเนื่อง หนี้ของประเทศจะไม่เพิ่มต่อไปอีก ในขณะเดียวกัน Arun Jaitley รัฐมนตรีการคลังของอินเดียได้ออกมาพูดว่าเศรษฐกิจของอินเดียจะกลับมาเติบโตในระดับ 7%-8% ต่อปี

หุ้นของ Eicher Motors ของอินเดีย ท้าชน Tesla ของสหรัฐฯ

หุ้นของ Eicher Motors ของอินเดีย ท้าชน Tesla ของสหรัฐฯ

  อเมริกามีบริษัท Tesla Inc. ของ Elon Musk อันเป็นที่รักของนักลงทุนวอลล์สตรีท แต่อินเดียก็มีบริษัท Eicher Motors Ltd. จักรยานยนต์ไฮเอ็นยี่ห้อ Royal Enfield ของ Eicher Motors เป็นที่รู้นักกันทั่วทั้งอินเดีย และบางทีเราได้เห็นคนขับขี่จักรยานยนต์ Royal Enfield ที่เมืองลอส แองเจลิส หรือไมอามี่ของสหรัฐฯ ในเวลา 7 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่บริษัท Eicher Motors ได้เข้าตลาดหุ้น ปรากฎว่าได้ทำผลกำไรให้กับนักลงทุนอย่างมาก โดยหุ้นของบริษัทขึ้นสูงถึง 3,270% เปรียบเทียบกับ 1,533% สำหรับหุ้นของเทสลาหลังจากเทสลาเข้าเทรดในตลาดหุ้นในช่วงกลางปี 2010 Eicher Motors มีราคา 30,000 รูปีต่อหุ้น ทำให้ หุ้นของ Eicher Motors มีราคาแพงมากที่สุดในตลาดหุ้นอินเดีย รองมากจากบริษัทผลิตยางรถยนต์ […]

ผลตอบแทนในระยะยาว กับกองทุนที่ให้ความสำคัญกับหลักธรรมาภิบาล

ผลตอบแทนในระยะยาว กับกองทุนที่ให้ความสำคัญกับหลักธรรมาภิบาล

ถือเป็นนิมิตรหมายอันดี ที่บริษัทจัดการกองทุนทั้ง 11 แห่ง ร่วมกันจัดตั้งกองทุนรวมธรรมภิบาลไทย ซึ่งเปิดขายไปแล้ว 6 กองทุน สามารถระดมทุนจากนักลงทุนในประเทศได้แล้วกว่า 2,700 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หลายท่านอาจยังมีข้อสงสัยว่า “ธุรกิจที่มีศีลธรรม จะมีกำไรดีกว่าธุรกิจที่มุ่งไปที่ผลประโยชน์สูงสุดขององค์กรได้อย่างไร” เรื่องนี้เรามีคำตอบที่จะช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น บริษัทที่ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพิจารณาเรื่องธรรมาภิบาล จะให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเป็นหลัก ซึ่งเป็นผลดีกับมูลค่าของกิจการในระยะยาว ชื่อเสียงและประวัติการดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาลที่ดี สามารถสร้างความน่าเชื่อถือและโอกาสทางธุรกิจในอนาคต อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากบทลงโทษ ซึ่งอาจส่งผลต่อองค์กรเป็นมูลค่ามหาศาลได้ อิทธิพลของ Social Media ในปัจจุบัน ได้กลายเป็นเครื่องมือในการยกระดับจริยธรรม และธรรมาภิบาลในสังคม โดยธุรกิจที่มีไม่เอาเปรียบสังคม จะได้รับการกล่าวถึงอย่างรวดเร็ว ขณะที่การดำเนินธุรกิจอย่างไม่เป็นธรรมก็จะสามารถถูกแรงกดดันทางสังคมได้ทันทีเช่นกัน การลงทุนที่มีนโยบายด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable and Responsible Investing, SRI) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตมากกว่า 25% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาหลักทรัพย์ที่มีหลักธรรมาภิบาลที่ดี หากจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมธรรมาภิบาลกับตลาดในปัจจุบัน เราจะขอยกตัวอย่างโดยเปรียบเทียบดัชนี iShares MSCI EM […]

ดูอาเซียนผ่านละคร

ดูอาเซียนผ่านละคร

ความคล้ายกันของประชากรชาวอาเซียน นอกจากเรื่องของสภาพอากาศ วัฒนธรรม ประเพณี ยังรวมไปถึงรสชาติอาหารและรสนิยมการบริโภคสื่อด้วย สังเกตได้จากรสชาติอาหารประจำชาติในแต่ละชาติที่มีรสชาติจัด เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ครบรส อย่าง Adobo ของประเทศฟิลิปปินส์ Satay ของประเทศอินโดนีเซีย ต้มยำกุ้งของประเทศไทย หรือ Pho จากประเทศเวียดนาม ความคล้ายคลึงกันนี้ส่งผลต่อมายังรสนิยมในการบริโภคสื่อ เราพบว่า ประชากรในภูมิภาคอาเซียนบริโภคสื่อผ่านโทรทัศน์สูงสุด ในอินโดนีเซียและไทย มีอัตราการเข้าถึงโทรทัศน์ 65-70%ต่อครัวเรือนทั้งหมด ขณะที่เวียดนามสูงถึง 88%ต่อครัวเรือนทั้งหมด ในขณะที่ฟิลิปปินส์อยู่ที่ 17%ต่อครัวเรือนทั้งหมด ผลพวงมาจากการที่ประชากรจำนวนหนึ่งยังอาศัยอยู่ตามเกาะที่ห่างไกลและออกไปทำงานนอกประเทศ รูปแบบเนื้อหาส่วนใหญ่ที่ผู้บริโภคชื่นชอบคือ ละคร โดยเราพบว่า ละครที่เรตติ้งสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศฟิลิปปินส์คือ Esperanza ทำเรตติ้งสูงสุดที่ 67% (% ต่อจำนวนผู้รับชมสื่อโทรทัศน์ทั้งหมด) เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการตามหาครอบครัวที่แท้จริงของนางเอก โดยครอบครัวบุญธรรมที่เลี้ยงดูตัวนางเอกมาเลี้ยงราวเธอกับเป็นทาสในบ้าน แต่เรื่องราวกลับเป็นโศกนาฎกรรมมากกว่านั้น เมื่อที่สุดแล้วเธอก็ได้สูญเสียสมาชิกในครอบครัวที่เธอรักมากไปหนึ่งคน ถัดมาคือประเทศอินโดนีเซีย คือเรื่อง Anak Jalanan (ปัจจุบันยังฉายอยู่และผลิตมาแล้วกว่า 770ตอน)เรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มในแก๊งค์มอเตอร์ไซค์แห่งจาการ์ต้าที่ช่วยชีวิตหญิงสาวมาจากแก๊งค์อันธพาล […]