กองทุนเปิดบัวหลวงตราสารหนี้ (BFIXED)
ประเด็นเด่นในตลาดตราสารหนี้ ในช่วงต้นเดือน ม.ค. 2563 ตลาดตราสารหนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ภายหลังสหรัฐฯ โจมตีทางอากาศในอิรัก และสังหารนายพลกาเซ็ม โซไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังนักรบคุดส์ ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษในต่างประเทศของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่านเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2563 และต่อมาในวันที่ 8 ม.ค. 2563 อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพของสหรัฐฯ ในอิรัก นักลงทุนจึงเกิดความกังวลว่าสถานการณ์จะบานปลาย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวได้คลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนคลายกังวลลง กอปรกับการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ Phase 1 ในวันที่ 15 ม.ค. 2020 โดยสหรัฐฯ จะลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 1.2 แสนล้านดอลลาร์ฯ เป็น 7.5% จากเดิม 15% ขณะที่จีนตกลงซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ส่วนจีนมีประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ วงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ […]
กองทุนเปิดบัวหลวงตราสารหนี้ภาครัฐ (B-TREASURY)
ประเด็นเด่นในตลาดตราสารหนี้ ในช่วงต้นเดือน ม.ค. 2563 ตลาดตราสารหนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ภายหลังสหรัฐฯ โจมตีทางอากาศในอิรัก และสังหารนายพลกาเซ็ม โซไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังนักรบคุดส์ ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษในต่างประเทศของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่านเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2563 และต่อมาในวันที่ 8 ม.ค. 2563 อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพของสหรัฐฯ ในอิรัก นักลงทุนจึงเกิดความกังวลว่าสถานการณ์จะบานปลาย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวได้คลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนคลายกังวลลง กอปรกับการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ Phase 1 ในวันที่ 15 ม.ค. 2020 โดยสหรัฐฯ จะลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 1.2 แสนล้านดอลลาร์ฯ เป็น 7.5% จากเดิม 15% ขณะที่จีนตกลงซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ส่วนจีนมีประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ วงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ […]
กองทุนเปิดบัวหลวงธนทวี (B-TNTV)
ประเด็นเด่นในตลาดตราสารหนี้ ในช่วงต้นเดือน ม.ค. 2563 ตลาดตราสารหนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ภายหลังสหรัฐฯ โจมตีทางอากาศในอิรัก และสังหารนายพลกาเซ็ม โซไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังนักรบคุดส์ ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษในต่างประเทศของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่านเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2563 และต่อมาในวันที่ 8 ม.ค. 2563 อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพของสหรัฐฯ ในอิรัก นักลงทุนจึงเกิดความกังวลว่าสถานการณ์จะบานปลาย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวได้คลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนคลายกังวลลง กอปรกับการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ Phase 1 ในวันที่ 15 ม.ค. 2020 โดยสหรัฐฯ จะลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 1.2 แสนล้านดอลลาร์ฯ เป็น 7.5% จากเดิม 15% ขณะที่จีนตกลงซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ส่วนจีนมีประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ วงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ […]
กองทุนผสมบีซีเนียร์สำหรับวัยเกษียณ เอ็กซ์ตร้า (B-SENIOR-X)
สรุปภาพรวมตลาดตราสารทุน บรรยากาศการลงทุนในช่วงปลายปี 2562 มีความผ่อนคลายมากขึ้น หลังจากสหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกร่วมกันได้ ประเด็นที่อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรปคลี่คลายลง และแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักๆ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไปในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับผลกระทบจากความกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวมทั้งปี 4.5 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมปี 2562 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 1.02% ซื่งเป็นการปรับตัวได้น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านและตลาดหุ้นโลก ในขณะที่ ปัจจัยต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เริ่มมีทิศทางที่ผ่อนคลาย แต่ปี 2563 มีปัจจัยเสี่ยงใหม่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านที่ทำให่ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนในช่วงต้นเดือนมกราคม ตามมาด้วยการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่แพร่จากเมืองอู่ฮั่นของจีนในปลายเดือนมกราคม ส่งผลให้ภาคธุรกิจจีนและการท่องเที่ยวของประเทศต่างๆ ได้รับผลกระทบ แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเป็นเพียงชั่วคราวและประเทศต่างๆ ยังต้องหาวิธีการรับมือเพื่อไม่ให้ขยายวงกว้าง แต่ก็ยังทำให้เกิดความกังวลว่าจะกระทบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ นับตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ แม้ว่าจะเจอปัจจัยลบจากโรคระบาด แต่ตลาดหุ้นหลักๆ นอกตลาดเอเชีย ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ อาทิ สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดเอเชีย ส่วนใหญ่ยังให้ผลตอบแทนติดลบ เนื่องจาก เศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย […]
กองทุนผสมบีซีเนียร์สำหรับวัยเกษียณ (B-SENIOR)
สรุปภาพรวมตลาดตราสารทุน บรรยากาศการลงทุนในช่วงปลายปี 2562 มีความผ่อนคลายมากขึ้น หลังจากสหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกร่วมกันได้ ประเด็นที่อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรปคลี่คลายลง และแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักๆ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไปในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับผลกระทบจากความกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวมทั้งปี 4.5 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมปี 2562 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 1.02% ซื่งเป็นการปรับตัวได้น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านและตลาดหุ้นโลก ในขณะที่ ปัจจัยต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เริ่มมีทิศทางที่ผ่อนคลาย แต่ปี 2563 มีปัจจัยเสี่ยงใหม่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านที่ทำให่ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนในช่วงต้นเดือนมกราคม ตามมาด้วยการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่แพร่จากเมืองอู่ฮั่นของจีนในปลายเดือนมกราคม ส่งผลให้ภาคธุรกิจจีนและการท่องเที่ยวของประเทศต่างๆ ได้รับผลกระทบ แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเป็นเพียงชั่วคราวและประเทศต่างๆ ยังต้องหาวิธีการรับมือเพื่อไม่ให้ขยายวงกว้าง แต่ก็ยังทำให้เกิดความกังวลว่าจะกระทบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ นับตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ แม้ว่าจะเจอปัจจัยลบจากโรคระบาด แต่ตลาดหุ้นหลักๆ นอกตลาดเอเชีย ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ อาทิ สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดเอเชีย ส่วนใหญ่ยังให้ผลตอบแทนติดลบ เนื่องจาก เศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย […]
กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นอินเดียมิดแคปเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-INDIAMRMF)
อัพเดทสถานการณ์จากผู้จัดการกองทุนหลัก Kotak India Mid Cap Fund ตลอดปี 2019 หุ้นอินเดียขนาดกลางและขนาดเล็ก (Mid to Small Cap) สร้างผลตอบแทนได้น้อยกว่าหุ้นอินเดียขนาดใหญ่ (Large Cap) เพราะเศรษฐกิจมหภาคมีอัตราการเติบโตที่ลดลงชัดเจน สภาพคล่องในระบบทรงตัว ต้นทุนทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น ในวัฎจักรดังกล่าวหุ้นขนาดกลางและเล็กมักจะให้ผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบด้อยกว่าหุ้นขนาดใหญ่อยู่เสมอ ประกอบกับบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มมิดแคปส่วนใหญ่มีรายได้มาจากภาคชนบทและรัฐต่างๆ นอกจากนี้ยังมีประเด็น การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในการดำเนินธุรกิจ เช่น การปฏิรูปภาษี GST (Goods and Services Tax), Insolvency Bankruptcy Code, Real Estate Regulatory Act และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบด้านความปลอดภัยในการผลิตรถยนต์ สิ่งทั้งหมดที่ว่านี้ส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ลดลงต่อเนื่องมา 5 ไตรมาสติดต่อกัน จากระดับ 8% สู่ 7% (ในไตรมาส 3 ปี […]
B-HY (H75) AI B-HY (UH) AI Product Update
กองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์ (เฮดจ์ 75) ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (B-HY (H75) AI) และกองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์ (อันเฮดจ์) ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (B-HY (UH) AI)
บทสัมภาษณ์ทิศทางตลาดยูเอสไฮยิลด์จาก Mr. Charl Pepper Whitbeck, Head of AXA US High Yield Bond Fund หากมองในปี 2019 ท่านผู้ถือหน่วยคงจำได้ว่าเป็นปีที่ตลาดยูเอสไฮยิลด์มีความผันผวนต่ำมาก ตลาดยูเอสไฮยิลด์เป็นขาขึ้นตลอดทางเพราะช่วงก่อนหน้าเคยเผชิญกับแรงขายในช่วงปลายปี 2018 แต่ในปี 2019 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยยูเอสไฮยิลด์กับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Spread) แคบลงตลอดทาง ดัชนีตราสารหนี้ยูเอสไฮยิลด์ให้ผลตอบแทนรายเดือนติดลบเพียงเดือนเดียว ด้วยเหตุที่ว่า นักลงทุนเกรงว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) จึงขยับไปถือครองตราสารหนี้ซึ่งมีคุณภาพที่ดีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับมีทิศทางตรงกันข้ามกับที่ตลาดมอง โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้กลับลำ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่เคยทรงตัวอยู่ในรูปแบบ Flattening Yield curve (ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นเท่ากันกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว) วกกลับมาเป็น Inverted yield Curve (ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นน้อยกว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว) กองทุนหลักถือครองตราสารหนี้ยูเอสไฮยิลด์ที่มีอายุยาวจึงให้ผลตอบแทนดีกว่าดัชนี ในช่วงเวลาดังกล่าวกองทุนหลัก เริ่มทยอยปรับเพิ่มน้ำหนักกับตราสารหนี้ยูเอสไฮยิลด์ที่มีอายุสั้นมากขึ้น เพราะเป็นกลยุทธ์ของกองทุนหลักที่จะ stay Defensive สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมของตราสารหนี้ที่กองทุนหลักถือครองอยู่นั้น ตราสารหนี้ในกลุ่มพลังงานให้ผลตอบแทนโดดเด่น กองทุนหลักลงทุนตราสารหนี้ในกลุ่มนี้โดยคัดเลิอกบริษัทผู้ให้บริการท่อส่งน้ำมันที่รายได้ไม่ผันผวนไปตามราคาน้ำมันดิบโลก […]
B-GLOBAL B-GLOBALRMF Product Update
กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นโกลบอล (B-GLOBAL) และกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นโกลบอลเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-GLOBALRMF)
ผลตอบแทนของดัชนีหุ้นโลก ผลตอบแทนของกองทุนหลัก และมุมมองต่อหุ้นรายตัวที่กองทุนหลักถือครอง ผลตอบแทนในไตรมาส 4Q2019 กองทุนหลักสร้างผลตอบแทนได้ 8.7% เทียบกับดัชนี MSCI AC World ที่ 9.0% (ขณะที่ผลตอบแทนรายปี (CY2019) กองทุนหลักสร้างผลตอบแทนได้ 26.0% ใกล้เคียงกับดัชนีที่ 26.6%) หากมองผลตอบแทนรายภูมิภาคของดัชนี เช่น จีน ตลาดเกิดใหม่ อเมริกาเหนือ ยุโรป และญี่ปุ่น ผลตอบแทนที่โดดเด่นของตลาดหุ้นจีนมาจากช่วงโค้งสุดท้ายของปีเหตุจากความคืบหน้าด้านการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ กราฟ: แสดงผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นในภูมิภาคต่างๆเฉพาะในไตรมาส 4Q2019 (สีน้ำเงินเข้ม) เทียบกับผลตอบแทนดัชนีทั้งปี 2019 (สีฟ้าอ่อน) และหากจำแนกผลตอบแทนของดัชนี MSCI แยกตามรายกลุ่มอุตสาหกรรม จะเห็นว่า หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนรายปีสูงสุดถึง 48% ขณะที่กลุ่มซึ่งมีรายได้ผันเป็นไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจ เช่น วัสดุก่อสร้าง สถาบันการเงิน ราคาหุ้นมีทิศทางฟื้นตัวชัดเจนในไตรมาสสี่ กราฟ 2: แสดงผลตอบแทนของดัชนี MSCI จำแนกตามรายกลุ่มอุตสาหกรรม […]
กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ)
ในปี 2019 ที่ผ่านมา ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจีน GDP เติบโตลดลงอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ การประท้วงในฮ่องกง อัตราการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้เอกชนหลายแห่ง ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการหลายอย่างเพื่อปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้บรรยากาศการลงทุนไม่สดใสนัก แต่กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) สามารถผงาดทำกำไรได้สูงถึงกว่า 38% และสูงกว่าดัชนีชี้วัดเกินเท่าตัวโดดเด่นเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมกองทุนหุ้นจีนประเภทที่ลงทุนได้ในทุกตลาด หรือกลยุทธ์แบบ All China Strategy ทั้งนี้ปัจจัยสำเร็จมาจากการเลือกลงทุนในบริษัทที่เติบโตสอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคใหม่ การยกระดับการบริโภค การยกระดับอุตสาหกรรมการผลิต รวมถึงการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีอย่างกว้างขวาง เช่น การวิจัยและพัฒนาเครือข่าย 6G เป็นต้น ปัจจุบัน หน่วยลงทุนมีหุ้นที่โดดเด่นสำคัญๆ ได้แก่ บริษัท Jiangsu Hengli Hydraylics ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฮดรอลิกรายใหญ่ที่สุดในจีน และรายใหญ่อันดับ 8 ของโลก จำหน่ายสินค้าให้ลูกค้าทั้งในประเทศ ลูกค้าต่างประเทศ อาทิ Caterpillar ธุรกิจมีผู้แข่งขันในตลาดน้อยราย บริษัท Ping An Insurance […]
กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE) และกองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์เพื่อการเลี้ยงชีพ (BCARERMF)
มุมมองต่อประเด็นทางการเมืองต่อระบบเฮลธ์แคร์ของสหรัฐฯ กองทุนหลักมองว่าโอกาสหรือความเป็นไปได้ที่โครงสร้างเฮลธ์แคร์ของสหรัฐฯ จะเปลี่ยนจากปัจจุบันไปสู่ระบบที่รัฐเข้าดูแลจัดการสวัสดิภาพของพลเมืองทั้งหมดหรือที่เรียกว่า Universal or government run healthcare system หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากจะใช้งบประมาณประเทศที่สูงเกินจะแบกจะรับไหว ข้อเสนอระบบประกันสุขภาพที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิใช้บริการเท่าเทียมกันหรือ Medical for all ของพรรคเดโมแครทนั้น ใช้งบประมาณสูงถึง 30 -50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และใช้ระยะเวลาในการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานรวม 10 ปี ตัวเลขนี้อยู่สูงกว่าขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในตอนนี้ที่คิดเป็นมูลค่า 21 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์อีกอย่างหนึ่งที่ฝั่งนักการเมืองผู้เสนอยังไม่ได้ประเมินคือ มีชาวอเมริกันจำนวน 180 ล้านครัวเรือนที่ใช้บริการประกันสุขภาพภาคเอกชน ผู้ให้บริการประกันสุขภาพภาคเอกชนดังกล่าว เมื่อนับรวมกับความร่วมมือภาครัฐผ่านสวัสดิการโอบามาแคร์แล้ว ก็แทบจะครอบคลุมคนสหรัฐฯ ในกลุ่มอยู่แล้ว หากจะเหลือก็มีเพียงแค่ พลเมืองสหรัฐฯ อีก 10 ล้านคน ซึ่งยังไม่มีหลักประกันสุขภาพค่ารักษาพยาบาล ณ จุดนี้ ทำให้ดูเหมือนว่าการที่รัฐจะเข้ามาดูแลกลุ่มคนเพียง 10 ล้านคน ด้วยการรื้อถอนโครงสร้างระบบประกันสุขภาพของประเทศใหม่หมดไม่เมคเซนซ์เอาเสียเลย ด้วยเงินจำนวนมหาศาลที่ต้องใช้ ในเชิงยุทธศาสตร์การเมืองการบริหารประเทศ จึงเป็นไปได้ยาก […]