ญี่ปุ่นมองสงครามการค้าจีน-สหรัฐมีแต่เสีย

ญี่ปุ่นมองสงครามการค้าจีน-สหรัฐมีแต่เสีย

ญี่ปุ่น มองการตอบโต้ทางการค้าไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศใดทั้งสิ้น การที่รัฐบาลจีนประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ 128 รายการ อาจนำไปสู่การเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า นายฮิโรชิเกะ เซโกะ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นกล่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ว่า การใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สำหรับประเทศใดๆ และญี่ปุ่นจะยังคงเป็นมิตรกับแต่ละประเทศต่อไป นอกจากนี้ นายเซโกะยังระบุด้วยว่า การจัดการกับปัญหาภาวะสินค้าล้นตลาดถือเป็นหัวใจที่แท้จริงของปัญหานี้ และเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะหาแนวทางแก้ไขตามกฎขององค์การการค้าโลก (WTO) ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศพันธมิตรของสหรัฐที่ยังไม่ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม ด้านนายทาโร โคโนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นกล่าวว่าการกำหนดมาตรการเรียกเก็บภาษีเพื่อตอบโต้ซึ่งกันและกันของประเทศรายใหญ่อย่างสหรัฐและจีนนั้น จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจการค้าโลก

หุ้นไทยปิดตลาดร่วงกว่า 17 จุด อยู่ที่ 1,765.24 จุด

หุ้นไทยปิดตลาดร่วงกว่า 17 จุด อยู่ที่ 1,765.24 จุด

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดวันนี้ (3 เม.ย. 61) ที่ระดับ 1,765.24 จุด ลดลง -17.04 จุด หรือ -0.96% โดยระหว่างวันดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,779.04 จุด และทำระดับต่ำสุดที่  1,764.18 จุด ขณะที่มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 62,148.34ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่ 1.PTT ปิดที่ 546.00 บาท ลดลง -6.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4,457.14 ลบ. 2.AOT ปิดที่ 69.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4,160.89 ลบ. 3.EA ปิดที่ 34.00 บาท […]

ธนาคารกลางออสเตรเลีย คงอัตราดอกเบี้ย ตามคาด

ธนาคารกลางออสเตรเลีย คงอัตราดอกเบี้ย ตามคาด

ธนาคารกลางออสเตรเลียมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.5% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเดือนที่ 20 และสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นายฟิลิป โลว์ ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลียได้แถลงภายหลังการประชุมวันนี้ว่า ธนาคารกลางยังคงเชื่อว่า เศรษฐกิจออสเตรเลียจะขยายตัวรวดเร็วขึ้นในปี 2018 อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนยังมีความไม่แน่นอน แม้การอุปโภคบริโภคเริ่มกระเตื้องขึ้นในช่วงปลายปีก่อน ขณะที่รายได้ภาคครัวเรือนปรับตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า และหนี้สินภาคครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูงมาก ธนาคารกลางออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันข้างหน้า แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม และยอมรับว่าตัวเลขจ้างงานในระบบเศรษฐกิจ และตัวเลขเงินเฟ้อที่จะเข้าใกล้ระดับเป้าหมาย 2.5% นั้น อาจเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลียกล่าวว่า อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียที่อ่อนค่าลงนั้น จะช่วยสนับสนุนการส่งออกให้ขยายตัวได้    

ธนาคารโลก ชี้ 30 ปีข้างหน้าผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินลดลง

ธนาคารโลก ชี้ 30 ปีข้างหน้าผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินลดลง

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ธนาคารโลกการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานอย่างน้ำมันและถ่านหิน ที่มีผลต่อมลภาวะจะเริ่มน้อยลงไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ธนาคารโลกคาดว่า การใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าจะลดลงอย่างรวดเร็วในช่วง 30 ปีข้างหน้า และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงพลังงานทดแทนจะเป็นแหล่งกระแสไฟฟ้าหลักแทน “โครงสร้างเชื้อเพลิงกระแสไฟฟ้าจากปัจจุบันที่เป็นถ่านหินบวกพลังงานทดแทน จะกลายเป็นก๊าซธรรมชาติบวกพลังงานทดแทน ผมคิดว่า น่าจะในอีก 10-12 ปีข้างหน้า เราจะเห็นแต่การใช้พลังงานทนแทน พร้อมกับคลังกักเก็บก๊าซ และคงไม่มีอย่างอื่นนอกจากนี้ให้เห็นมากนัก” Riccardo Puliti ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัดอุตสาหกรรมพลังงานของธนาคารโลกกล่าว เขากล่าวว่า ถ่านหินจะมีสัดส่วนอยู่ในส่วนประสมพลังงานอีกไม่มากในอีก 30 ปีข้างหน้า เนื่องจากการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้ามีแต่จะลดลงไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้ถ่านหินในจีนในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 0.7% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 2013

หุ้นไทยปิดตลาดบวก 6 จุด อยู่ที่ 1,782.28 จุด

หุ้นไทยปิดตลาดบวก 6 จุด อยู่ที่ 1,782.28 จุด

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดวันนี้ (2 เม.ย. 61) ที่ระดับ 1,782.28 จุด เพิ่มขึ้น 6.02 จุด หรือ 0.34% โดยระหว่างวันดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,783.73 จุด และทำระดับต่ำสุดที่  1,771.58 จุด ขณะที่มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 40,444.88 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่ 1.PTT ปิดที่ 552.00 บาท ปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 3,193.75 ลบ. 2.EA ปิดที่ 39.00 บาท ลดลง -4.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,566.40 ลบ. 3.KTC ปิดที่ 333.00 บาท เพิ่มขึ้น […]

ราคาเป้าหมาย (Target Price) (ตอนที่ 2)

ราคาเป้าหมาย (Target Price) (ตอนที่ 2)

By… ศรศักดิ สร้อยแสงจันทร์ BF Knowledge Center การประเมินมูลค่าหุ้นเพื่อใช้เป็นราคาเป้าหมายมีวิธีการที่นิยมใช้ 2 วิธี วิธีกระแสเงินสด (Discount Cash flow) วิธีนี้จะประมาณการณ์รายได้ ค่าใช้จ่ายของบริษัท เพื่อหากำไรสุทธิ ในอนาคตเป็นเวลา 5 ปี หรือ 10 ปี  และใช้กระแสเงินสด (ปรับจากตัวเลขกำไรสุทธิ) หรือเงินปันผล ในการคำนวนประกอบกับการใช้อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง ซึ่งเป็นการพิจารณาถึงกระแสเงินสด/เงินปันผลที่บริษัทสามารถทำให้ผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาว วิธีกระแสเงินมีข้อดีที่เป็นการประเมินบนพื้นฐานของผลประโยชน์ที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับจากการลงทุนซื่งสะท้อนมุมมองในระยะของกิจการ และตีมูลค่าในอนาคตให้กลับมาเป็นมูลค่าในปัจจุบัน แต่มีข้อเสียที่การคาดการณ์ไปในอนาคตระยะยาว มีโอกาสคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงสูงมาก นักวิเคราะห์ต้องประเมินโดยใช้สมมติฐานต่างๆ มากมาย โดยปัจจัยและตัวแปรที่ใข้มีหลากหลาย หากปัจจัยและสถานะจริงเปลี่ยนไปหรือไม่ตรงกับที่คิดไว้ ตัวเลขที่ประมาณการณ์ไว้จะผิดความจริงไปมาก วิธีมูลค่าเปรียบเทียบ (Relative valuation) นักวิเคระห์จะใช้การประเมินผลกำไรของบริษัทใน 1 ปี ข้างหน้า และคูณด้วย ค่า P/E ที่เหมาะสม ได้เป็นราคาเป้าหมายหรือมูลค่าหุ้นที่เหมาะสม วิธีนี้มีข้อดีกว่าวิธีแรก โดยเป็นการประเมินระยะสั้นจากผลประกอบการที่คาดว่าบริษัทจะทำได้ใน 1 […]

Product Special B-INNOTECH

Product Special B-INNOTECH

ครั้งนี้เรามาพูดถึงกรณีที่ Facebook ประสบปัญหาวิกฤตด้านความโปร่งใส ว่าจะกระทบต่อราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างไรกัน 1. Facebook ถูกสอบสวนว่าปล่อยปละละเลยในการปกป้องสิทธิ ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้ตกไปอยู่ในมือของบริษัทภายนอก หนึ่งในนั้นคือ บริษัท Cambridge Analytica ที่ได้นำข้อมูลบุคลิกภาพ ความชอบ ของกลุ่มเป้าหมายมาวิเคราะห์ และสร้างแคมเปญ โฆษณา เพื่อชี้นำและปั่นหัวผู้ใช้ จนกระทั่งทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง 2. นอกจากนี้ยังพบว่าเหตุการณ์การลงประชามติของสหราชอาณาจักรเพื่อออกจากยูโร (Brexit) ก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดข้อมูลนี้เช่นกัน เพราะกลุ่มสนับสนุนให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (pro-Brexit) ได้ว่าจ้างให้กลุ่มบริษัท Cambridge Analytica ทำแคมเปญให้ 3. พอร์ตกองทุนหลัก Fidelity Global Technology Fund มี Position ในหุ้น Facebook 0% ด้วยการวิเคราะห์รายบริษัทผู้จัดการกองทุนมองว่าธุรกิจประเภท Digital Advertising ที่มี Penetration rate ระดับ 20% จะเติบโตยากขึ้น […]

จีนตอบโต้สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า 128 รายการ

จีนตอบโต้สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า 128 รายการ

รัฐบาลจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 128 รายการ เพื่อตอบโต้การขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. จีนจะเก็บภาษีเพิ่มเติมจากอัตราเดิมที่เก็บอยู่ตอนนี้ โดยเก็บเพิ่มสูงสุด 25% สำหรับชิ้นส่วนอลูมิเนียม เนื้อหมูแช่แข็ง และอื่นๆ รวม 8 รายการ ส่วนสินค้าอื่นๆ อาทิ ถั่ว ผลไม้ ไวน์และเหล็กม้วน จะเก็บเพิ่ม 15% สินค้าส่วนใหญ่ที่จีนเก็บภาษีเพิ่มเติม คือ สินค้าเกษตร (ประมาณ 90%) แต่สินค้าทั้งหมดนี้คิดเป็นเพียง 0.2% ของการนำเข้าของจีน ชี้ให้เห็นว่า จีนยังมีความระมัดระวังต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการตั้งกำแพงภาษี จีนหลีกเลี่ยงการตอบโต้ในสินค้าที่มีความสำคัญ เช่น ถั่วเหลือง รถยนต์ และเครื่องบิน ซึ่งเป็นสินค้านำเข้าหลักของจีนจากสหรัฐฯ การตอบโต้นี้ ต่อเนื่องมาจากการประกาศของจีนในช่วงก่อนหน้า ที่จะขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ฯ

UN มองระยะสั้นความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีอาจดีขึ้น แต่ระยะยาวยังซับซ้อน

UN มองระยะสั้นความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีอาจดีขึ้น แต่ระยะยาวยังซับซ้อน

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่าหัวหน้าฝ่ายการเมืองของสหประชาชาติ (UN) เผยสถานการณ์ในระยะสั้นที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์บนคาบสมุทรเกาหลีนั้นดูเหมือนจะสดใส แต่ในระยะยาวนั้น ยังมีความท้าทายต่างๆนานาที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น นายเจฟฟรีย์ เฟลท์แมน กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า จากข้อเท็จจริงที่ว่า เรากำลังจะมีการประชุมสุดยอดเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ปกติ แต่การที่เกาหลีเหนือระงับการทดสอบนั้น อาจจะทำให้โครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธมีความคืบหน้า ซึ่งผมให้ความสนใจในจุดนี้ และในระยะสั้นนั้น สถานการณ์ยังดูดี นายเฟลท์แมน กล่าวแสดงความเห็นก่อนหน้าที่การประชุมระหว่างนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะเปิดฉากขึ้นที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งนายเฟลท์แมนมองว่า เป็นสถานการณ์ที่ดี “แม้ว่าจะไม่ใช่สถานการณ์ของการยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ก็ตาม แต่ก็ชี้ให้เห็นว่า แทนที่ความตึงเครียดจะเพิ่มสูงขึ้น เราก็มีสถานการณ์ของการที่หลายๆฝ่ายได้หันมาคุยกันในหลายระดับ เพื่อที่จะพิจารณาถึงหนทางเดินหน้าต่อไปว่า จะสามารถทำให้สอดคล้องกับมติของคณะมนตรีความมั่นคงได้หรือไม่