หลังครบ 1 ปีกับการยกเลิกธนบัตรอินเดีย

หลังครบ 1 ปีกับการยกเลิกธนบัตรอินเดีย

หนึ่งปีหลังจากที่รัฐบาลโมดี้ประกาศยกเลิกธนบัตรจำนวน 18 ล้านล้านรูเบิ้ล หรือ 86% ของเงินรูปีทั้งหมดที่หมุนเวียนในระบบ ปรากฎว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจอินเดียของมาตรการนี้ยังคงมีอยู่ นายกรัฐมนตรี นาเรนดรา โมดี้ ต้องการใช้นโยบายยกเลิกธนบัตรเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาตลาดมืด การเลี่ยงการจ่ายภาษี ธนบัตรปลอม รวมทั้งการเร่งสู่ระบบการชำระเงินแบบออนไลน์ แต่นโยบายนี้สร้างความปั่นป่วนพอสมควรให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคชนบทที่คนยังไม่เข้าถึงธนาคาร หรืออินเทอร์เน็ต วันที่ 8 พฤศจิกายนนี้จะเป็นวันครบรอบ 1 ปีที่นโยบายยกเลิกธนบัตรได้ประกาศใช้ โดยบังคับให้ประชาชนเอาธนบัตรเก่ามาแลกธนบัตรใหม่ ตอนนี้สถานการณ์เริ่มกลับคืนสู่สภาพปกติ โดยมีธนบัตรใหม่กลับเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 15.89 ล้านล้านรูปี นอกจากมาตรยกเลิกธนบัตรแล้ว นโยบายภาษีใหม่ (Goods and Services Tax) ที่รัฐบาลโมดี้ประกาศใช้ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาก็ทำให้เกิดความอลเวงพอสมควรในการจัดเก็บภาษีที่บังคับใช้ทั่วประเทศเพื่อให้ทุกรัฐของอินเดียมีระบบภาษีรูปแบบเดียวกัน นับว่าเป็นความกล้าหาญของโมดี้ที่ใช้นโยบายยกเลิกธนบัตร และนโยบายภาษีใหม่ ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นที่นิยม และอาจจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงแรก โดยเศรษฐกิจในไตรมาสระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายนปี 2017 มีอัตราเติบโตที่ 5.7% เทียบกับ 6.1%ในไตรมาสแรกระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม อย่างไรก็ตาม ทาง DBS Bank ของสิงคโปร์มีรายงานว่า แม้ว่าการใช้นโยบายยกเลิกธนบัตรอาจจะมีผลกระทบระยะแรก […]

หุ่นยนต์ที่ปรึกษาการเงิน (Robo-Advisor) ยังไงก็สู้คนไม่ได้

หุ่นยนต์ที่ปรึกษาการเงิน (Robo-Advisor) ยังไงก็สู้คนไม่ได้

นักบริหารเงิน หรือผู้จัดการกองทุนเริ่มมีความกังวลใจกันมากขึ้นว่า งานที่ตัวเองทำจะถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์ (Robo-Advisor) แต่ Robert Merton ศาสดาจารย์ทางด้านไฟแนนซ์จากมหาวิทยาลัย MIT และเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ออกมาบอกว่า เรื่องนี้ไม่น่ากังวลใจ เพราะว่าโปรแกรมที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อที่จะช่วยให้คำแนะนำการบริหารเงินแก่นักลงทุนไม่มีความสามารถพื้นฐานที่คนมี “สิ่งที่เราต้องทำให้เทคโนโลยีทำงานให้ได้คือสร้างความน่าเชื่อถือ แต่เทคโนโลยีสร้างความน่าเชื่อถือด้วยตัวเองไม่ได้” Merton กล่าว Merton บอกต่อไปว่า เนื่องจากเทคโนโลยีไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ จะทำให้เกิดปัญหาหรือความปั่นป่วนในการบริหารความมั่งคั่ง เพราะว่านักลงทุน หรือลูกค้าไม่ทราบได้ว่าหุ่นยนต์ที่ให้คำปรึกษามีวาระแอบแฝงอะไร เราไม่รู้ว่าหุ่นยนต์ใช้ข้อมูลอะไรในการให้คำแนะนำ Merton บอกว่า นอกจากนี้ นักลงทุนอาจจะมีปัญหาในการเลือก Robo-Advisor ที่ถูกใจจากโมเดลของปัญญาประดิษฐ์ที่มีอยู่มากมาย เราจะรู้โมเดลที่ใช้ไม่ได้ในไฟแนนซ์ก็ต่อเมื่อมันสายเกินไปเสียแล้ว Merton บอกว่า สถานการณ์เช่นนี้สร้างโอกาสให้กับที่ปรึกษาการเงินที่เป็นคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เล่นกับความน่าเชื่อถือจะไปได้ดี แม้ว่าอุตสาหกรรมทางการเงินจะพัฒนาเข้าสู่ระบบอัตโนมัติ (automation) มากยิ่งขึ้น “ถ้าหากว่าผมให้การรับรองเทคโนโลยี หรือหุ่นยนต์ว่าเหมาะที่จะให้คำแนะนำทางการเงินกับคุณ คุณเชื่อใจผม แต่ไม่ได้เชื่อหุ่นยนต์” Merton กล่าว

อินเดียอัด 32,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มทุนแบงก์

อินเดียอัด 32,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มทุนแบงก์

ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียประกาศว่าจะใช้เงิน 2.11 ล้านล้านรูปี หรือ 32,000 ดอลลาร์ล้านเพื่อเพิ่มทุนระบบธนาคารของรัฐในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า เม็ดเงินมหาศาลที่จะใส่เข้าไปเพื่อเพิ่มทุนระบบธนาคารของรัฐนี้ สูงกว่าที่รัฐบาลโมดีได้ให้สัญญาเอาไว้ถึง 10 เท่า ในการไฟแนนซ์การเพิ่มทุนแบงก์ของรัฐ รัฐบาลอินเดียจะก่อหนี้ด้วยการออกพันธบัตรมูลค่า 1.35 ล้านล้านรูปี ส่วนธนาคารของรัฐจะระดมเงินผ่านงบประมาณที่จะได้รับการสนับสนุนและจากตลาดการเงิน Rajiv Kumar เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังอินเดียเปิดเผยว่า นอกจากนี้รัฐบาลมีแผนที่จะลงทุน 108,000 ล้านเพื่อที่จะสร้างถนนไฮเวย์ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า การเพิ่มทุนของแบงก์รัฐในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้แบงก์มีฐานเงินทุนเพียงพอในการปล่อยกู้เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามทาง Fitch Ratings Ltd. คาดการว่าแบงก์รัฐของอินเดียต้องการเงินทุนอีก 62,000 ล้านดอลาร์ในปี 2019 เพื่อที่จะรองรับความพอเพียงของฐานเงินกองทุนตามกฎของ Basel III ระบบธนาคารของอินเดียยังคงมีหนี้เสียอยู่ทำให้ทางรัฐบาลโมดีต้องเข้าไปจัดการเพิ่มทุน รวมทั้งใช้เงิน 100,000 ล้านรูปีเพื่อซื้อหุ้นแบงก์

ญี่ปุ่นควงแขนพันธมิตร ถ่วงดุลอิทธิพล “จีน”

ญี่ปุ่นควงแขนพันธมิตร ถ่วงดุลอิทธิพล “จีน”

Taro Kono รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น ประกาศเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า ญี่ปุ่นเตรียมจัดเจรจาระดับสูงในเดือนพฤศจิกายน เพื่อ “ส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าภายใต้กรอบการค้าเสรีและความร่วมมือด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ” ขึ้นในระหว่างประเทศที่มีอาณาบริเวณติดต่อหรือเชื่อมโยงกับทะเลจีนใต้, มหาสมุทรอินเดีย และเลยไปไกลจนถึงทวีปแอฟริกา นอกจากญี่ปุ่นที่เป็นตัวตั้งตัวตีแล้ว ประเทศที่ได้รับเชิญล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ในเอเชีย ได้แก่ อินเดีย ออสเตรเลีย และแน่นอนว่ามีสหรัฐฯด้วย Kono ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า มีการส่งข้อเสนอให้ “ประเทศนอกภูมิภาค” อย่างฝรั่งเศสและอังกฤษ เข้าร่วมในการก่อตั้งกลุ่มความร่วมมือดังกล่าว ในฐานะ “ประเทศผู้ให้ความร่วมมือ” Kono ให้เหตุผลถึงการดำเนินการครั้งนี้ว่า “เราอยู่ในยุคซึ่งญี่ปุ่นจำเป็นต้องแสดงบทบาททางการทูตระหว่างประเทศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ที่วางเอาไว้ หากทะเลจีนใต้เปิดกว้างและมีเสรีสำหรับทุกคน ผลประโยชน์ย่อมตกอยู่กับทุกประเทศ รวมทั้งจีน และแผนงานโอบีโออาร์ของจีน” ตั้งแต่ปี 2015 เมื่อจีนเมินเฉยต่อเสียงเรียกร้องและการประท้วงของนานาชาติ ในการส่งกำลังเข้าไปในเกาะแก่งหลายแห่งในทะเลจีนใต้ แสดงตนเป็นเจ้าของและพัฒนาสิ่งปลูกสร้างทางทหารขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศที่ร่วมอ้างสิทธิเหนือดินแดนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, มาเลเซีย และบรูไน ต่างยื่นประท้วง ในขณะที่แวดวงประชาคมนานาชาติออกมาประณามการยึดครองฝ่ายเดียว หลายฝ่าย โดยเฉพาะญี่ปุ่นกังวลมากว่า วิธีการทำนองเดียวกันนี้ของจีนอาจนำมาใช้ในอีกหลาย ๆ ที่หลาย […]

จับตา “Powell” ประธาน FED คนใหม่

จับตา “Powell” ประธาน FED คนใหม่

  Trump ตกลงเลือก Jerome Powell เป็นประธาน FED คนใหม่แทน Janet yellen ซึ่งจะหมดวาระลงในกุมภาพันธ์ 2018 Wall Street ให้การต้อนรับที่ดีต่อข่าวนี้ เพราะแนวความคิดในเรื่องนโยบายการเงินของ Powell เป็นไปในทิศทางเดียวกับ Yellen เช่น การค่อยเป็นค่อยไปของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการลดงบดุลของ FED กว่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยพยายามไม่กระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินเป็นหลัก สำหรับเรื่องการดูแลสถาบันการเงิน Powell ไปแนวทางเดียวกับ Trump ที่ต้องการให้สถาบันการเงินมีความคล่องตัวในการทำธุรกิจมากขึ้น Powell แสดงให้เห็นว่าเขาจะสานต่อนโยบายของ Yellen และไม่พยายามแสดงให้เห็นว่าจะมีรอยต่อที่ส่อให้เกิดปัญหาในการดำเนินนโยบายของ FED

Fund Comment – EQUITY (กันยายน 2560)

Fund Comment – EQUITY (กันยายน 2560)

  ภาพรวมตลาดหุ้น ตลาดหุ้นไทยยังทยอยปรับขึ้นในเดือนกันยายน และนักลงทุนต่างชาติได้กลับเข้ามาซื้อหุ้นไทย ด้วยมูลค่าการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในเดือนนี้กว่า 6,500 ล้านบาท สูงที่สุดเป็นรายเดือนนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เป็นสัดส่วนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากความคาดหวังต่อการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยนั้นมีสัญญาณที่ดีขึ้นทั้งในภาคการส่งออก การลงทุนเอกชน และการบริโภคในประเทศ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไปถึงปีหน้า ตลาดที่ปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลการแรงซื้อหุ้นกลุ่ม Big Cap ที่กระจายไปในหลายอุตสาหกรรม รวมทั้งการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือกลุ่มผู้ให้บริการสินเชื่อ เป็นต้น ซึ่งแม้หุ้นเหล่านี้จะปรับตัวขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับมูลค่าพื้นฐานของปี 2018 ขณะที่หุ้นซึ่งเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจไทยอย่างหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ นั้นนับว่ายังไม่ได้ปรับตัวขึ้นมากนัก และผลประกอบการในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2017 น่าจะมีสัญญาณที่ดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งน่าจะทำให้มีการทยอยปรับการคาดกาณณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนได้สูงขึ้นในอนาคต เมื่อประกอบกับการที่นายกรัฐมนตรีประกาศจะมีการเลือกตั้งในปี 2561ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ในช่วงหลังจากนี้ ด้านความเสี่ยงในช่วงนี้ ยังไม่เห็นปัจจัยที่มีนัยสำคัญต่อตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยปัจจัยในประเทศนั้นส่วนใหญ่จะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนตลาดมากกว่า ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น ขณะที่ปัจจัยจากต่างประเทศนั้น FED ได้ส่งสัญญาณที่จะปรับลดการถือครองสินทรัพย์ (Balance […]

Key Take Away วันแรกของการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 19 (National Party Congress)

Key Take Away วันแรกของการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 19 (National Party Congress)

    เมื่อ 18 ต.ค. การประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 19 (National Party Congress) เปิดฉากขึ้นแล้วที่มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง และจะดำเนินไปถึงวันที่ 25 ต.ค. ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุมหรือที่เรียกว่า Political Report โดยมีใจความสำคัญ (Key Takeaways) ดังนี้;   Political Report เน้นย้ำการพัฒนาสังคมจีนไปสู่ 小康社会 ภายในปี 2020 (xiǎokāngshèhuì) หรือที่เป็นภาษาอังกฤษว่า Moderate Properous Society (คำนี้ใช้ตั้วแต่สมัยหูจิ่นเทา เน้นย้ำให้สังคมเข้าสู่กลุ่มรายได้ปานกลาง ให้ประชากรอยู่อย่างสะดวกสบาย แม้ว่าจะไม่ฟุ้งเฟ้อ แต่ทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น) เพื่อให้ประเทศจีนบรรลุความฝันของชาวจีน (Chinese Dream ในนิยามนี้คือ เป้าหมายเป็นประเทศที่มีความทันสมัยในระบอบสังคมนิยมที่มีความเข้มแข็งฯและฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของชาติจีน หรือ Achieving the great renewal of the Chinese nation) โดยในเป้าหมายระยะยาวสีจิ้นผิงได้น้อมนำวิสัยทัศน์ของเติ้งเสี่ยวผิงให้จีนรุ่งเรืองภายในปี 2035 และให้แข็งแกร่งมั่งคั่งภายในปี 2050 […]

E-Commerce : ‘จุดเปลี่ยน’ หรือ ‘จุดจบ’ ของโมเดิร์นเทรดอาเซียน

E-Commerce : ‘จุดเปลี่ยน’ หรือ ‘จุดจบ’ ของโมเดิร์นเทรดอาเซียน

  ตลาดค้าปลีกออนไลน์หรือ E-Commerce ในอาเซียนมีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ แต่มีศักยภาพการเติบโต โดยได้แรงสนับสนุนจากปัจจัยต่างๆ อาทิ กำลังซื้อของผู้บริโภคที่สูงขึ้น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ขยายวงกว้างขึ้น และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางออนไลน์ที่เข้มข้นขึ้น ทั้งหมดกำลังช่วยผลักดันให้ตลาดในภูมิภาคนี้มีอัตราการเติบโตที่สูงต่อไปในอนาคต ตามรายงานของ เอ. ที. เคียร์เน่ บริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจชั้นนำของโลก ตลาดค้าปลีกออนไลน์ใน 6 เศรษฐกิจหลักของอาเซียน (ASEAN 6) ซึ่งประกอบด้วย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม มีมูลค่ารวมราว 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสิงคโปร์มีขนาดใหญ่สุดราว 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มาเลเซียและอินโดนีเซียอยู่ในอันดับสองร่วมกันราว 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยมีขนาดตลาดราว 0.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รายงานระบุว่า ตลาดค้าปลีกออนไลน์ในกลุ่ม ASEAN 6 ยังค่อนข้างเล็ก คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 1 ของตลาดค้าปลีกออนไลน์ทั้งโลก ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) […]

Morning Brief 19/10/17

Morning Brief 19/10/17

    สีเน้นเปิดประเทศจีนกว้างขึ้นสำหรับนักลงทนต่างประเทศ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงประกาศว่าจีนสนับสนุนระบบเศรษฐกิจโลกที่เปิด และสัญญาว่าจีนจะเดินหน้าเปิดเสรีเพื่อให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนในจีนได้สะดวกยิ่งขึ้น “ประตูของประเทศจีนจะไม่ปิด แต่จะเปิดกว้างมากขึ้น” สีพูด สีพูดในช่วงงานเปิดประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่19ที่กรุงปักกิ่ง โดยย้ำว่าที่ผ่านมาจีนประสบความสำเร็จในการดำเนินตามระบบสังคมนิยมแบบจีนๆ และจีนจะสามารถสร้างสังคมที่มีความร่ำรวยพอประมาณตามเป้าหมายได้ สีบอกว่า นอกจากจะผลักดันนโยบายเปิดเสรีแล้ว จีนจะเปิดโอกาสให้กลไกตลาดได้ทำงาน เพื่อที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการใช้ทรัพยากร โดยที่ระบบอัตราแลกเปลี่ยน และระบบอัตราดอกเบี้ยต่อไปจะถูกกำหนดโดยกลไกตลาดมากยิ่งขึ้น สีบอกว่า รัฐบาลจะยกเลิกกฎระเบียบ หรือวิธีปฏิบัติที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตลาด และการแข่งขันที่เป็นธรรม และจะสนับสนุนบริษัทของเอกชน และกระตุ้นให้มีการแข่งขัน นักวิเคราะห์และนักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจกับนโยบายที่สีแถลงมาก เพราะว่าทุกคนอยากจะเห็นว่าสีมีความเด็ดเดี่ยวเพียงใดในการดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของจีน ซึ่งได้ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา การที่เศรษฐกิจจีนจะต่ออย่างยั่งยืนต่อไปได้ ต้องผ่านการปฏิรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐวิสาหกิจใหญ่ๆทั้งหลาย ที่หลายแห่งไม่สามารถแข่งขั้นได้อีกต่อไป สีบอกว่า รัฐบาลจะสนับสนุนกลไกตลาดในการแก้ไขรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งจะสนับสนุนการควบรวมกิจการสำหรับรัฐวิสาหกิจ

Innovating Thailand “Speed up…Speed up และ Speed up”

Innovating Thailand “Speed up…Speed up และ Speed up”

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดมุมมองไว้ในงาน “เศรษฐกิจคิดใหม่” BOT Symposium 2017 : Innovating Thailand ไว้ว่า “พลังของเทคโนโลยีทุกวันนี้รุนแรงมาก” เป็นได้ทั้งความเสี่ยงและโอกาสในเวลาเดียวกัน เทคโนโลยีกำลังทำให้สิ่งที่เราเคยได้รายได้บางอย่างหายไป แต่ก็กำลังสร้างโอกาสในอีกด้านที่สำคัญเป็นแบบก้าวกระโดด เป้าหมายใหม่ต้องอยู่ภายใต้สมมุติฐานว่าจะไม่มีการขาดแคลนสินค้าต่างๆ อีกต่อไป เพราะการผลิตใช้ระบบอัตโนมัติ ทำให้ต้นทุนถูกลง ทำให้ประเทศไทยจึงต้องปรับตัวจากอุตสาหกรรมการผลิตแบบเดิมไปสู่แบบใหม่ ที่เครื่องจักรทดแทนไม่ได้ คือเป็นการผลิตงานฝีมือ เป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะส่วนบุคคลมากขึ้น ทำในสิ่งที่คอมพิวเตอร์จะมาทดแทนไม่ได้ และยังมีโอกาสตามมาในด้านการท่องเที่ยว เพราะเมื่อเทคโนโลยีมาทำแทนคนในหลายด้าน คนมีเวลาและมีเงินมากขึ้น คนก็อยากไปเที่ยว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะเป็นอนาคตของประเทศไทยได้ “เมื่อวัตถุเป็นของที่หาง่าย คุณค่าทางจิตใจจะเป็นของที่สำคัญมากขึ้น การบริการเฉพาะบุคคลที่ผนวกกับบริการประเภทนี้จะเป็นทางออกของประเทศไทย แต่ต้องวางตำแหน่งทางธุรกิจและพัฒนาโมเดลธุรกิจของประเทศให้ชัดเจน” ขณะที่จุดอ่อนของอีโคซิสเต็มในไทยที่สำคัญคือ มหาวิทยาลัยและระบบการศึกษาที่ไม่เชื่อมต่อกับภาคอุตสาหกรรม   “มหาวิทยาลัยในไทยมีปัญหาที่สปีดช้ามากและไร้จุดหมายว่าจะเอางานวิจัยไปทำอะไร ขณะที่ในยุคที่เทคโนโลยี สปีดเป็นเรื่องสำคัญมาก ฉะนั้นมหาวิทยาลัยต้องเกาะไปกับคนที่เร็วกว่าและคนที่รู้ทิศทาง คือภาคเอกชนในประเทศที่รู้ว่าจะเอานวัตกรรมไปผลิตสินค้าและบริการอะไร และองค์กรหรือมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่พัฒนาระบบนวัตกรรมมีความชัดเจน ระบบลงตัวและรู้ทิศทางของตนเอง” ตัวอย่างบริษัทโลกที่ลงทุนในไทยอยู่แล้ว อย่างฮาร์ดดิสก์หรือรถยนต์ แต่มีความเชื่อมโยงกับระบบนวัตกรรมในไทยน้อยมาก ทั้งที่มีงบฯ ทำวิจัยสูง […]