CoCo Bond: ตราสารหนี้ Basel III (ตอนจบ)                     

CoCo Bond: ตราสารหนี้ Basel III (ตอนจบ)                     

ข้อมูลจาก สำนักงาน กลต และ ThaiBMA BF Knowledge Center                 หุ้นกู้ที่ออกตามเกณฑ์ Basel III มีลักษณะพิเศษ คือ เป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ที่ผู้ถือจะได้รับเงินคืนหลังจาก ผู้ฝากเงิน และเจ้าหนี้สามัญ หากธนาคารต้องเลิกกิจการ มีโอกาสถูกไถ่ถอนคืนโดยธนาคาร หลังจาก 5 ปีที่ออก หากธนาคารประสบปัญหาด้านการเงินจนดำเนินกิจการต่อไปไม่ได้ และทางการเข้าช่วยเหลือ หุ้นกู้จะถูกตัดลดมูลค่าหรือตัดเป็นหนี้สูญ หรือถูกแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ หากเงินกองทุนขั้นที่ 1 ต่ำกว่า 6% เฉพาะหุ้นกู้ที่ใช้เป็นกองทุนขั้นที่ 1 จะถูกตัดลดมูลค่าหรือตัดเป็นหนี้สูบ หรือถูกแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ (จึงมีชื่อว่า Contingent Conversion หรือ CoCo Bond) ในกรณีที่ธนาคารขาดทุน อาจไม่ได้รับดอกเบี้ย โดยไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ จะเห็นว่าหุ้นกู้ดังกล่าวมีความเสี่ยงมากกว่าหุ้นกู้ปกติ คือ ไม่ได้รับดอกเบี้ยในปีที่ธนาคารขาดทุน หรือหากปิดกิจการจะได้รับเงินคืนหลังเจ้าหนี้อื่น และมีความเสี่ยงด้าน Reinvestment risk […]

CoCo Bond: ตราสารหนี้ Basel III (ตอนที่ 1)      

CoCo Bond: ตราสารหนี้ Basel III (ตอนที่ 1)      

ข้อมูลจาก สำนักงาน กลต และ ThaiBMA  BF Knowledge Center                 ในช่วงนี้มีธนาคารบางแห่งระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นกู้ประเภท Basel III เพื่อใช้เป็นเงินกองทุนของธนาคาร จึงขอเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะพิเศษและความเสี่ยงให้นักลงทุนทราบก่อนตัดสินใจลงทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท)ได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ธนาคารปฏิบัติเพื่อควบคุมเสี่ยงของระบบการเงิน โดยใช้เกณฑ์ที่พัฒนาโดย Bank for International Settlement ภายใต้ Basel Accord โดยปัจจุบันใช้เกณฑ์ Basel III ที่มีข้อกำหนดหลายประการ หนี่งในนั้นคือการดำรงเงินกองทุนของธนาคารให้ได้ตามที่ ธปท กำหนด เพื่อให้ธนาคารมีทุนที่เพียงพอรองรับความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ฝากเงิน ดังนี้ เงินกองทุนขั้นที่ 1 ไม่ต่ำกว่า 6% ต่อสินทรัพย์เสี่ยง (สินเชื่อและเงินลงทุนของธนาคาร) โดยเงินกองทุนดังกล่าวมาจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ทุนจดทะเบียนและกำไรสะสม) รวมทั้งหุ้นกู้ที่ไม่มีอายุครบกำหนด เงินกองทุนขั้นที่ 2  รวมกับกองทุนขั้นที่ 1 ไม่น้อยกว่า 8.5% ของสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งได้มาจากการออกหุ้นกู้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 5 […]

ซีรี่ส์: จีนผู้ชนะ (ตอนที่4)

ซีรี่ส์: จีนผู้ชนะ (ตอนที่4)

ประเทศที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ คือประเทศที่มีฐานการผลิต และการค้าที่มั่นคง แต่สหรัฐได้ทอดทิ้งสิ่งเหล่านี้ไป บริษัทอเมริกันเลือกที่จะย้ายฐานผลิตไปผลิตในประเทศที่มีค่าแรงงานต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเม็กซิโก หรือในจีน และคนอเมริกันเลือกที่จะบริโภคเกินตัวผ่านการนำเข้าสินค้าทำให้เกิดการขาดดุลการค้าที่มหาศาล การที่สหรัฐบริโภคเกินตัวได้ เพราะว่าสามารถใช้เครดิตดอลล่าร์ ซึ่งยังคงเป็นเงินสกุลหลักของโลกซื้อสินค้าโดยตรงได้ โดยไม่มีความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน โมเดลของจีนในช่วงที่ผ่านมา คือเปิดประเทศเพื่อรับการลงทุนเพื่อการส่งออกโดยรัฐบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด จีนรับจ้างผลิตของทุกอย่างตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ เรียนรู้ที่จะก็อปปี้ แล้วค่อยๆพัฒนาระบบการผลิตและเทคโนโลยี่ของตัวเอง เนื่องจากจีนเป็นตลาดใหญ่ บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ทั้งหลายต้องเข้ามาลงทุนในจีนเพื่อส่งออก และเพื่อขายของในตลาดจีนที่มีประชากรกว่า1,300ล้านคน โมเดลการผลิตเพื่อการส่งออกนี้เองทำให้จีนได้เปรียบดุลการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสหรัฐ ทำให้สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนมีมากที่สุดในโลก เคยแตะ $4 ล้านล้าน ตอนนี้เหลือประมาณ $3.1 ล้านล้าน เพราะว่าจีนใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพื่อซื้อทอง หรือเพื่อการลงทุนในประเทศในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สหรัฐรู้ตัวดีว่า ถ้าขืนบริโภคเกินควรอย่างนี้ตลอดไป วันนึ่งจะถูกจีนขึ้นมาทาบรัศมี เพราะว่าสหรัฐไม่มีฐานผลิตอะไรที่สำคัญ มีแต่การเงินผ่านระบบเครดิต การผลิตอาวุธ ซิลิคอน แวลเลย์ การเกษตรขนาดใหญ่ และการบริโภคภายในประเทศที่มีสัดส่วนสูงถึง 70% ต่อจีดีพี รายงานความมั่นคงของสหรัฐทุกฉบับเขียนเหมือนกันว่าจีนกำลังเป็นคู่แข่งที่สำคัญ และถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างมีนัยยะสำคัญ สหรัฐจะถูกจีนแซงหน้าในด้านขนาดของเศรษฐกิจภายในปี 2029 หรือ 2030 […]

Workshop ดีๆ จาก บลจ.บัวหลวง ที่อยากสนับสนุนให้ครอบครัวไทยมีความมั่นคงทางการเงิน

Workshop ดีๆ จาก บลจ.บัวหลวง ที่อยากสนับสนุนให้ครอบครัวไทยมีความมั่นคงทางการเงิน

สมัครได้ที่  http://www.bblam.co.th/asset/seminar/ws3-2561.php

หุ้นไทยปิดตลาดพุ่งกว่า 26 จุด อยู่ที่ 1,834.18  จุด

หุ้นไทยปิดตลาดพุ่งกว่า 26 จุด อยู่ที่ 1,834.18  จุด

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดวันนี้ (26 ก.พ. 61) ที่ระดับ 1,834.18 จุด เพิ่มขึ้น 26.12 จุด หรือ 1.44% โดยระหว่างวันดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,834.21จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,809.33 จุด ขณะที่มูลค่าการซื้อขาย ณ เวลา 17.15 น. อยู่ที่ 72,191.36 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่ 1.PTT ปิดที่ 566.00 บาท เพิ่มขึ้น 28.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 11,263.44 ลบ. 2.BANPU ปิดที่ 23.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.30 บาท มูลค่าการซื้อขาย 6,078.00 […]

จีนเดินหน้านโยบายการคลังเชิงรุก แต่ยังใช้นโยบายการเงินรัดกุม

จีนเดินหน้านโยบายการคลังเชิงรุก แต่ยังใช้นโยบายการเงินรัดกุม

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนยืนยันว่า จีนจะดำเนินนโยบายการคลังเชิงรุก หรือ มุ่งส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างรัดกุมในปี 2018 โดยคณะกรรมการฯระบุว่า จีนจะดำเนินนโยบายปฏิรูปด้านอุปทานต่อไป ด้วยการเร่งรัดการสร้างนวัตรกรรม การปฏิรูปปัจจัยพื้นฐานในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่สำคัญ และดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงลดจำนวนคนยากจน และรักษาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ จีนมีนโยบายที่จะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาส่วนภูมิภาค พัฒนาความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจต่างๆ กระตุ้นการบริโภค และการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่นโยบายการเงินนั้น จีนจะให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และดำเนินนโยบายการเงินอย่างรอบคอบรัดกุมเพื่อป้องกันความผันผวนในภาคการเงิน

บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หากพุ่งแตะ 4.5% กดตลาดหุ้นทรุดแน่

บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หากพุ่งแตะ 4.5% กดตลาดหุ้นทรุดแน่

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า โกลด์แมนแซคส์กรุ๊ป (Goldman Sachs Group) เตือนว่า หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นแตะระดับ 4.5% ภายในสิ้นปีนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ Daan Struyven นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมนแซคส์ ระบุว่า มุมมองที่เป็นไปได้ คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.25% ภานในสิ้นปี 2018 แต่หากเลวร้ายที่สุด ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็น 4.5% ย่อมส่งผลต่อราคาหุ้นให้ลดลงอย่างรุนแรง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจชะลอตัวลง แต่จะไม่ถึงขั้นเกิดภาวะถดถอย “หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ขึ้นแตะ 4.5% จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นลดลง 20%-25%” ในบทวิเคราะห์ดังกล่าวระบุ ขณะที่นักกลยุทธ์ตลาดทุนหลายคนมองว่า ตลาดหุ้นจะยังคงเป็นขาขึ้นจนกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึงระดับ 3.5% หรือ 4% และขณะนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯได้เพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงระดับ 3% แล้ว

6 ขั้นตอนแก้หนี้ ทำไม่ยากหากตั้งใจจริง (ตอนที่2)

6 ขั้นตอนแก้หนี้ ทำไม่ยากหากตั้งใจจริง (ตอนที่2)

BF Knowledge Center สามข้อแรกของการจัดการหนี้สิน เป็นขั้นตอนสำคัญที่มักถูกมองข้าม ข้อแรก จัดระเบียบหนี้สิน  บางคนเป็นหนี้โดยไม่เคยรู้เลยว่ามีหนี้อยู่เท่าไรที่ไหนบ้าง ดอกเบี้ยเท่าไรคิดยังไง บางคนไม่เคยรู้เลยวิธีคิดดอกเบี้ยของหนี้แต่ละอย่างไม่เท่ากัน อย่างเช่นอัตราดอกเบี้ยบ้านคิดแบบลดต้นลดดอก แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อรถยนต์หรือผ่อนชำระสินค้าที่คิดแบบ flat rate มันไม่ลดต้นลดดอก อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่จ่ายจึงมากกว่าอัตรคาดอกเบี้ยลดต้นลดดอกประมาณเท่านึง ต้องเขียนหรือพิมพ์ใส่คอมพ์ออกเลย อย่าแค่จำมันจะลืม เงินกู้ตอนเริ่มต้นเท่าไร กู้จากไหน มีหนี้กับธนาคารไหน บริษัทไหน หรือยืมเพื่อนพ้องพี่น้องคนไหนมาบ้าง อัตราดอกเบี้ยเท่าไร จ่ายเงินต้น ดอกเบี้ยยังไง เดือนละเท่าไร เงื่อนไขเป็นอย่างไร เขียนออกมาให้หมดเลย ใครทำ excel เป็น แนะให้ทำไว้เลยจะเปรียบเทียบง่าย พอรู้สถานะหนี้ทั้งหมดที่มี ทีนี้ก็จะง่ายในการวางแผนจัดการ ข้อสอง ประเมินสถานะการเป็นหนี้  พอเรารู้หนี้สินที่มีแล้ว ให้เอาไปเทียบกับรายได้เพื่อประเมินสถานะความเป็นหนี้ของเราว่าอยู่ในระดับใด คือ 1.) มีหนี้แต่ยังสบายๆ 2.) มีหนี้ตึงมือ หรือ 3.) มีหนี้ขั้นวิกฤต ถ้ารายได้แต่ละเดือน เพียงพอจ่ายดอกเบี้ย และเงินต้นได้ตามสัญญา […]

ซีรี่ส์: จีนผู้ชนะ (ตอนที่3)

ซีรี่ส์: จีนผู้ชนะ (ตอนที่3)

รายงานล่าสุดของหน่วยงานคลังสมองของอังกฤษประมาณการว่า จีนจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยจะแซงหน้าสหรัฐในปี2030 ส่งที่นายสตีฟ แบนนอน อดีตนักยุทธศาสตร์ทำเนียบขาว และที่ปรึกษาของประธานาธิบดีทรัมป์กลัวว่าสหรัฐกำลังแพ้สงครามเศรษฐกิจต่อจีนกำลังจะกลายเป็นความจริงอีก10กว่าปีข้างหน้า มาเร็วกว่าที่คิด โดยจีนใช้เวลาเพียง 50 ปีเท่านั้นหลังจากเปิดประเทศใหม่ในปี 1980 สมัยประธานาธิบดี เติ้ง เสี่ยงผิง ที่จะแซงหน้าสหรัฐที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้ง2 หน่วยงานคลังสมองของอังกฤษที่ออกคำทำนายนี้ คือ Center for Economics and Business Research ทำให้เราได้เห็นว่า ศตวรรษที่ 21 นี้จะเป็นของจีนและอินเดีย โดยจีนจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกในครึ่งศตวรรษแรก ส่วนอินเดียจะแซงหน้าจีนในครึ่งศตวรรษหลัง ในปี 2018 นี้ ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกยังคงเป็นสหรัฐ ตามมาด้วยจีน ญี่ปุ่น เยอรมัน อินเดีย ฝรั่งเศส อังกฤษ บราซิล อิตาลี แคนาดา เกาหลีใต้ และอินโดเนเซีย ที่น่าสนใจคืออินเดียอยู่อันดับ 7 ในปีที่แล้ว แต่จะแซงหน้าฝรั่งเศสและอังกฤษในปีนี้เพื่อขึ้นมาอยู่อันดับ5 ในปี […]

แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ3ป

แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ3ป

เบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้น 1 แท่น สู่ระดับ 799 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2558 และพบว่าจำนวนแท่นเพิ่มขึ้นมาก เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนมีแท่นขุดเจาะน้ำมันเพียง 602 แท่น แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5 โดยเป็นครั้งแรกที่มีการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 5 สัปดาห์นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.ปีที่แล้ว