หุ้นไทยปิดตลาดวันนี้ที่ 1,643.52 จุด เพิ่มขึ้น 2.59 จุด

หุ้นไทยปิดตลาดวันนี้ที่ 1,643.52 จุด เพิ่มขึ้น 2.59 จุด

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดวันนี้ ( 13 ก.ค. 2018) อยู่ที่ระดับ 1,643.52 จุด เพิ่มขึ้น 2.59 จุด หรือ 0.16% โดยระหว่างวันดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,649.66 จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,639.49 จุด มูลค่าการซื้อขาย 37,635.36 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่ 1.BEAUTY ปิดที่ 7.95 บาท ลดลง -0.15 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,803.67 ลบ. 2.PTT ปิดที่ 47.50 บาท ลดลง -0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,725.49 ลบ. 3.CPALL ปิดที่ […]

ธปท.ชี้อุปสงค์ต่างชาติต่ออาคารชุดไทยเพิ่มยังไม่กระทบราคาซื้อ

ธปท.ชี้อุปสงค์ต่างชาติต่ออาคารชุดไทยเพิ่มยังไม่กระทบราคาซื้อ

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกบทความ FAQ Issue ประจำเดือน ก.ค. ซึ่งเขียนโดย มณีรัตน์ ก้องเสียง เศรษฐกร สายนโยบายการเงิน ธปท. โดยได้สรุปสถานการณ์อุปสงค์ชาวต่างชาติต่ออาคารชุดไทย โดยระบุว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งมีส่วนช่วยทดแทนอุปสงค์ในประเทศที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ทำให้อาคารชุดคงค้างในตลาดไม่ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก ซึ่งเป็นการซื้อเพื่ออยู่เองและลงทุนปล่อยเช่าเป็นหลัก ทั้งนี้ ยังไม่พบสัญญาณว่าอุปสงค์ชาวต่างชาติจะทำให้ราคาอาคารชุดเร่งขึ้นและกระทบความสามารถในการซื้ออาคารชุดของผู้ซื้อในประเทศ ขณะที่ภาคสถาบันการเงินไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ชาวต่างชาติมากนัก เนื่องจากข้อกำหนดของไทยไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติกู้เงินจากสถาบันการเงินในประเทศมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้โดยเสรี ทางด้านความกังวลว่าผู้ประกอบการจะเปิดโครงการใหม่เพื่อเน้นขายลูกค้าต่างชาติมากเกินไป ซึ่งอาจกลายเป็นปัญหาอุปทานล้นตลาดในอนาคตได้หากเกิดภาวะช็อคกับอุปสงค์ชาวต่างชาตินั้น จากการประเมินพบว่าความกังวลดังกล่าวยังมีไม่มาก เนื่องจากผู้ประกอบการยังค่อนข้างระมัดระวังในการเปิดโครงการใหม่ และเน้นขายผู้บริโภคในประเทศเป็นหลัก สำหรับ อุปสงค์ชาวต่างชาตินี้ประเมินจากมูลค่าการซื้อเงินบาทของชาวต่างชาติเพื่อชำระค่าอาคารชุด และมูลค่าการถอนเงินจากบัญชีเงินบาทของชาวต่างชาติเพื่อซื้ออาคารชุด โดยพบว่า มูลค่าเงินโอนเพื่อซื้ออาคารชุดปี 2017 อยู่ที่ 70,758 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2016 ซึ่งมี 53,259 ล้านบาท หรือขยายตัว 33% สูงกว่าการขยายตัวในปี 2012-2016 ที่เติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี […]

GDP สิงคโปร์ไตรมาส 2/2018 โต 3.8 % YoY ชะลอลงจากไตรมาสที่ผ่านมาที่ขยายตัว 4.3% YoY

GDP สิงคโปร์ไตรมาส 2/2018 โต 3.8 % YoY ชะลอลงจากไตรมาสที่ผ่านมาที่ขยายตัว 4.3% YoY

BF Economic Research GDP ของสิงคโปร์ในไตรมาส 2/2018 ขยายตัว 3.8% YoY ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 4.1% YoY และชะลอลงจากไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งขยายตัว 4.3% YoY รัฐบาลสิงคโปร์ได้ตั้งเป้าหมายอัตราเติบโตของเศรษฐกิจประเทศในปี 2018 ไว้ที่กรอบ 2.5-3.5% GDP ของสิงคโปร์ในไตรมาส 2/2018 ขยายตัว 3.8% YoY ชะลอลงจากไตรมาสที่ผ่านมาที่ขยายตัว 4.3% YoY โดยได้รับแรงหนุนจากภาคการผลิตซึ่งขยายตัว 8.6% YoY (ชะลอลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ที่ขยายตัว 9.7% YoY) โดยมีอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไบโอเคมิคอลขยายตัวโดดเด่นสุด ในทางตรงกันข้าม ภาคการก่อสร้างยังคงหดตัวต่อเนื่องที่ -4.4% YoY (ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่หดตัว -5.2 %) สำหรับภาคบริการขยายตัวได้ดีที่ 3.4% YoY (ชะลอลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา ที่ขยายตัว 4.0% YoY) […]

หุ้นไทยปิดตลาดวันนี้ที่ 1,640.93 จุด เพิ่มขึ้น 4.30 จุด

หุ้นไทยปิดตลาดวันนี้ที่ 1,640.93 จุด เพิ่มขึ้น 4.30 จุด

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดวันนี้ ( 12 ก.ค. 2018) อยู่ที่ระดับ 1,640.93 จุด เพิ่มขึ้น 4.30 จุด หรือ 0.26% โดยระหว่างวันดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,646.12 จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,633.53 จุด มูลค่าการซื้อขาย 46,976.00 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่ 1.PTT ปิดที่ 48.00 บาท ลดลง -0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,615.64 ลบ. 2.CPALL ปิดที่ 76.50 บาท ลดลง -2.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,581.17 ลบ. 3.BEAUTY ปิดที่ […]

รุกปั้นสตาร์ทอัพจัดการปัญหาหยุดหายใจขณะหลับ

รุกปั้นสตาร์ทอัพจัดการปัญหาหยุดหายใจขณะหลับ

Alphabet และ ResMed ผนึกกำลังปั้นสตาร์ทอัพที่จะมาแก้ปัญหาเรื่องภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งเป็นวิกฤตสุขภาพที่ซ่อนตัวอยู่ ซีเอ็นบีซี รายงานว่า มีประชากรหลักล้านคนมีภาวะหยุดภายใจขณะหลับ ซึ่งสถาบันรักษาด้านการนอนหลับในสหรัฐ ประเมินว่า การไม่ตรวจพบปัญหาคิดเป็นต้นทุน 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีในสหรัฐประเทศเดียว ซึ่งต้นทุนนี้คิดจากการที่บุคคลสูญเสียผลิตภาพ เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นต้น ทั้งนี้ Alphabet เป็นบริษัทในกลุ่ม Verily ที่มุ่งใช้เทคโนโลยีเข้าใจสุขภาพเพื่อป้องกันและจัดการกับโรค ได้ร่วมกับ ResMed ตั้งบริษัทใหม่ มุ่งเน้นด้านภาวะหยุดหายใจขณะหลับและโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Verily เป็นพันธมิตรตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทที่ทำด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต โดย Verily ยังทำงานกับ Johnson & Johnson ทำ Verb Surgical พัฒนาหุ่นยนต์ผ่าตัดรุ่นต่อไปด้วย “สิ่งสำคัญ คือ ทำความเข้าใจ สร้างความตระหนักว่านี่เป็นปัญหาใหญ่ ให้ผู้คนพบปัญหาเร็วและช่วยผู้เผชิญปัญหาได้ในระยะยาว” Jessica Mega หัวหน้าฝ่ายการแพทย์ Verily กล่าว Jason Graff […]

ผู้บริโภคมือเติบในยุคเทคโนโลยี The Series ตอนที่ 11

ผู้บริโภคมือเติบในยุคเทคโนโลยี The Series ตอนที่ 11

สถาบัน Brookings ของสหรัฐได้ศึกษาเพื่อที่จะได้ภาพของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนในยุคมิลเลนเนียล (เกิดระหว่างปี 1982-1997)ว่า จะมีอิทธิพลอย่างไรต่อเศรษฐกิจโลก คนรุ่นมิลเลนเนียลมีจำนวน 80-90 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา และสิ่งที่พวกเขาชอบ หรือนึกคิดจะเป็นพลังขับดันการผลิต และกลยุทธ์การตลาดในอีกอย่างน้อย 20 ปีข้างหน้า คนยุคมิลเลนเนียลอาจจะไม่จริงจังกับเรื่องการแต่งงาน หรือการเป็นเจ้าของบ้าน แต่พวกเขาเป็นคนรุ่นแรกที่รู้ภาษาดิจิทัล โดยที่รายได้ของพวกเขาจะมีมากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมกันในปี 2030 มีคำกล่าวว่า โครงสร้างประชากรเป็นโชคชะตา สหรัฐอเมริกามีคนที่เกิดในยุคมิลเลนเนียลในสัดส่วนที่น้อย เมื่อเทียบกับโลกใบนี้ จีนมีมิลเลนเนียลถึง 400 ล้านคน และในเอเชียมีคนยุคมิลเลนเนียลมากกว่า 1,000 ล้านคน พูดให้ชัดลงไป ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ หรือเศรษฐกิจกำลังพัฒนามีสัดส่วนของคนยุคมิลเลนเนียลถึง 86% ของทั้งโลกรวมกัน ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากว่าเรามีบริษัทที่จะทำธุรกิจเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ หรือความต้องการของคนยุคใหม่ที่อยู่ในวัฒนธรรมโลกใหม่ เราต้องมีฐานอยู่ในเอเชีย ทางสถาบัน Brookings ได้ศึกษาคนยุคมิลเลนเนียลด้วยการสำรวจใน 22 ประเทศ ที่มีสัดส่วน 70%ของประชากรโลก ทำให้เห็นภาพว่าคนยุคมิลเลนเนียลจะมีอิทธิพลต่อโลกสูงกว่าที่หลายคนคิดหรือเข้าใจ […]

ผู้บริโภคมือเติบในยุคเทคโนโลยี The Series ตอนที่ 10

ผู้บริโภคมือเติบในยุคเทคโนโลยี The Series ตอนที่ 10

ในวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา สิงคโปร์เทเลคอมได้ประกาศว่าจะเข้าธุรกิจวิดีโอเกมเพื่อเจาะตลาดกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียล นักลงทุนทั่วไปมักเรียกบริษัทที่มีอายุครบ139 ปีนี้ด้วยชื่อย่อว่า สิงเทล การเข้าสู่ธุรกิจวิดีโอเกมสะท้อนให้เห็นว่าสิงเทลได้วางกลยุทธ์ที่จะจับตลาดกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลอย่างจริงๆ จังๆ โดยจะตั้งลีควิดีโอเกมเพื่อการแข่งขันขึ้นมา รวมทั้งจะมีการสปอนเซอร์ทีมของตัวเองอีกด้วย พูดง่ายๆ สิงเทลกำลังทำธุรกิจอีสปอร์ต ซึ่งเป็นธุรกิจที่ใหญ่ในตลาดโลก ไม่ว่าจะในสหรัฐ หรือจีน และหลายคนเชื่อว่าตลาดอีสปอร์ตนี้จะมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูงต่อไปเนื่องจากพลังของผู้บริโภคยุคมิลเลนเนียล ทางโกลด์แมน แซคส์ มีการคาดการณ์ว่า ยอดของของอีสปอร์ตหรือวิดีโอเกมจะพุ่งทะลุ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 โดยคนดูจะเทียบเท่า National Football League ในสหรัฐ ผู้ที่มีบทบาทผลักดันให้สิงเทลเข้าธุรกิจวิดีโอเกมคือนายอาร์เธอร์ แลงค์ อดีตเคยเป็นนายแบงก์ให้กับบริษัท มอร์แกน สแตนเลย์มาก่อนที่จะมาดูแลกิจการด้านต่างประเทศของสิงเทลในเดือน เม.ย. ปีที่แล้ว เขาต้องการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจของสิงเทลออกไป เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ทางการสิงค์โปร์ได้ให้ไลเซ่นส์ประกอบธุรกิจเทเลคอมให้กับ TPG Telecom ในปี2016 ที่ผ่านมา นอกจากนี้บริษัท Netflix ได้เข้ามาแย่งธุรกิจให้บริการดูหนังแบบสตรีมมิ่งจากช่องทีวีของสิงเทล สิงเทลได้ซื้อกิจการด้านความปลอดภัยของไซเบอร์และดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งเพื่อกระจายความเสี่ยงของธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม รายได้ของสิงเทล […]

ผู้บริโภคมือเติบในยุคเทคโนโลยี The Series ตอนที่ 9

ผู้บริโภคมือเติบในยุคเทคโนโลยี The Series ตอนที่ 9

ประมาณ 50% ของประชากรโลกในเวลานี้มีอายุต่ำกว่า 30 ปี เรากำลังอยู่ในช่วงที่มีคนวัยหนุ่มสาวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แล้วกลุ่มคนมิลเลนเนียล (เกิดระหว่างปี 1982-1996) ต้องการเห็นอะไรในปีนี้ World Economic Forum Global Shapers Survey ได้ทำงานวิจัย โดยสัมภาษณ์มากกว่า 30,000 คนที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี จาก 186 ประเทศ เพื่อให้ได้ภาพว่าคนรุ่นใหม่ที่มีลักษณะเป็นผู้นำคิดอย่างไรเกี่ยวกับโลกในปัจจุบัน ประการแรก คนยุคมิลเลเนียลเห็นว่าปัญหาเรื่องโลกร้อน และความขัดแย้งในพื้นที่ต่างๆ ของโลกเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงสุดที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ในเวลานี้ ประการที่ 2 คือ 40% ของคนรุ่นใหม่เห็นว่าธุรกิจสตาร์ทอัพที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศ และการเป็นเจ้าของกิจการเองเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่คนยุคใหม่จะสามารถสร้างพลังอำนาจต่อรองของตัวเอง อีก 39.6% มองว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเป็นการสร้างพลังการต่อรองของคนรุ่นใหม่ และอีก 39.2% ตอบว่าสื่อหรือโซเซียลมีเดียที่มีเสรีภาพเป็นปัจจัยที่สำคัญที่พวกเขาอยากจะเห็น คนรุ่นใหม่ส่วนมากมองผลกระทบของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในด้านบวก 78.6% ของคนรุ่นใหม่เชื่อว่าเทคโนโลยีจะสร้างงาน ในขณะที่ 21.4%เชื่อว่าเทคโนโลยีจะทำให้คนตกงาน ประเด็นที่น่าสนใจคือเทคโนโลยีจะแก้ปัญหาคนอายุระหว่าง 15-24 ปี […]

จับตาธุรกิจปล่อยกู้ระหว่างบุคคลในจีนอาจเหลือรอดไม่มาก

จับตาธุรกิจปล่อยกู้ระหว่างบุคคลในจีนอาจเหลือรอดไม่มาก

ลุ้น 1 ใน 9 บริษัทที่ให้บริการปล่อยกู้ระหว่างบุคคลสู่บุคคล (peer-to-peer lending) ในจีนเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้เมื่อหน่วยงานกำกับด้านการเงินของจีนยกระดับการตรวจสอบข้อมูลประเมินความเสี่ยงหลังที่ผ่านมาไม่ได้เข้ามาดูแลเรื่องนี้มากนัก ไชน่าเดลี่ รายงานว่า Pan Gongsheng รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีน กล่าวว่า รัฐบาลจีนวางแผนจัดการอย่างจริงจังกับกิจกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นบนอินเทอร์เน็ตซึ่งขัดต่อกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของหน่วยงานกำกับก่อนขยายวงกว้างไปกว่านี้ โดยการกวาดล้างเกิดขึ้นหลังพบว่ามีนักลงทุนถูกหลอกลวงเสียเงินมหาศาลในวงจรนี้ ก่อนหน้านี้ Sun Guofeng หัวหน้าสถาบันวิจัยของธนาคารกลางจีน ออกมาเตือนว่าความเสี่ยงทางด้านการเงินได้ขยายวงจากภาคธุรกิจแบบดั้งเดิมไปสู่ตลาดเกิดใหม่อย่างฟินเทค และความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเพราะมีการปล่อยสินเชื่อออนไลน์ข้ามภูมิภาค “ฝ่ายกำกับในท้องถิ่นควรจะปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น คลาวด์ คอมพิวติ้ง เพื่อการป้องกันและจัดการกับความเสี่ยงทางการเงินแบบข้ามตลาด” Sun Guofeng กล่าว Huang Yiping หัวหน้าสถาบันวิจัยการเงินดิจิทัลของมหาวิทยาลัย Peaking กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมาจำนวนบริษัทที่ให้บริการปล่อยสินเชื่อในลักษณะ peer-to-peer lending เติบโตก้าวกระโดดมากและได้กำไรเนื่องจากการที่ประเทศยังไม่มีกฎระเบียบที่เหมาะสมมาควบคุม อย่างไรก็ตามมีหลายบริษัทที่อาจจะนำพาธุรกิจให้อยู่รอดได้ยากในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หลังจากการจัดระเบียบครั้งใหญ่บวกกับแรงกดดันจากปัญหาสภาพคล่องและการคาดการณ์ว่าจะมียอดคนถอนเงินออกจำนวนมาก ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญซึ่งอยู่ในสถาบันการเงินทางอินเทอร์เน็ตชั้นนำ กล่าวว่า จำนวนบริษัทอาจจะเหลือแค่ 200-300 บริษัทก็ได้ ขณะที่สถิติจากบริษัทที่เก็บข้อมูลการปล่อยสินเชื่อออนไลน์ พบว่า ที่ผ่านมาจากที่แพลตฟอร์มปล่อยสินเชื่อออนไลน์เคยมีจำนวนมากกว่า 6,000 […]

หุ้นไทยปิดตลาดลดลงเกือบ 7 จุด มาอยู่ที่ 1,636.63 จุด

หุ้นไทยปิดตลาดลดลงเกือบ 7 จุด มาอยู่ที่ 1,636.63 จุด

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดวันนี้ ( 11 ก.ค. 2018) อยู่ที่ระดับ 1,636.63 จุด ลดลง -6.97 จุด หรือ -0.42% โดยระหว่างวันดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,641.34 จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,628.03 จุด มูลค่าการซื้อขาย 44,493.49 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่ 1.PTT ปิดที่ 48.50 บาท ลดลง -0.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,573.69 ลบ. 2.PTTEP ปิดที่ 136.00 บาท ลดลง -2.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,887.17 ลบ. 3.PTTGC ปิดที่ […]