สภาผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนมูลค่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ที่อัตราภาษี 25% ในวันที่ 23 ส.ค.
BF Economic Research สภาผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ที่อัตราภาษี 25% ในวันที่ 23 ส.ค.นี้ หลังสินค้าในกลุ่มดังกล่าวเสร็จสิ้นกระบวนการรับฟังความเห็นจากสาธารณะ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในรอบนี้ นับเป็นรอบที่สองตามแผนการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯที่ USTR ได้ประกาศไปในช่วงกลางเดือน มิ.ย. โดยในรอบแรกสหรัฐฯ ได้ขึ้นภาษีกับสินค้าจีนมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ มีผลบังคับใช้ไปแล้วในวันที่ 6 ก.ค. ซึ่งจีนได้ตอบโต้ด้วยการประกาศมาตรการตอบโต้โดยเริ่มเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% กับสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจำพวกสินค้าเกษตร และรถยนต์ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. เช่นเดียวกัน ในลำดับถัดไป สหรัฐฯ กำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณา ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ ที่อัตราภาษี 10% (และอาจกำลังพิจารณาปรับเพิ่มขึ้นเป็น 25%) […]
หุ้นไทยปิดตลาดบวกกว่า 14 จุด อยู่ที่ 1,721.64 จุด
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดวันนี้ (8 ส.ค. 2018) อยู่ที่ 1,721.64 จุด เพิ่มขึ้น 14.38 จุด หรือ 0.84% โดยระหว่างวันดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,723.50 จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,707.59 จุด มูลค่าการซื้อขาย 54,335.51 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่ 1.PTT ปิดที่ 53.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4,377.29 ลบ. 2.CPALL ปิดที่ 73.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,696.99 ลบ. 3.KBANK ปิดที่ 216.00 […]
สหรัฐเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนล็อตใหม่ 23 ส.ค. นี้
สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานว่า สหรัฐเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนล็อตที่ 2 ในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 23 ส.ค. 2018 สำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้ประกาศรายการของจีนที่ต้องถูกเรียกเก็บภาษีครั้งล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาครอบคลุม 279 รายการ เมื่อช่วงกลางเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา USTR ได้ประกาศรายการสินค้าจำนวน 1,100 รายการของจีนที่ต้องถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยสินค้าล็อตแรกจำนวน 818 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ มีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา
ฟิลิปปินส์ขาดดุลการค้าในเดือน มิ.ย. อยู่ที่ 3.35 พันล้านดอลลาร์ฯ ลดลงจากเดือนที่ผ่านมา
BF Economic Research การส่งออกฟิลิปปินส์ เดือนมิ.ย. 2018 อยู่ที่ 5,4 ล้านดอลลาร์ฯ หรือหดตัว -0.1% ขณะที่ การนำเข้าอยู่ที่ 9,5 ล้านดอลลาร์ฯ หรือขยายตัวสูง 24.2% ส่งผลให้ฟิลิปปินส์ขาดดุล -3,350.1 ล้านดอลลาร์ฯ ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาที่ขาดดุล -3,700.8 ล้านดอลลาร์ฯ การส่งออกฟิลิปปินส์เดือน มิ.ย. อยู่ที่ 5,7004 ล้านดอลลาร์ หดตัว -0.1% ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัว -3.8% ขณะที่ การนำเข้ามีมูลค่า 9,050.5 ล้านดอลลาร์ฯ หรือขยายตัว +24.2% YoY เร่งขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาซึ่งขยายตัว 11.4% ส่งผลให้ขาดดุล 3,350.1 ล้านดอลลาร์ฯ ลดลงจากเดือนที่ผ่านมา การส่งออกสินค้า ในเดือนมิ.ย. หดตัวชะลอลงเล็กน้อยเนื่องจากสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนถึง 58.8% ของสินค้าส่งออกฟิลิปปินส์ทั้งหมดพลิกกลับมาขยายตัวในเดือนมิ.ย.กว่า […]
แอร์บีเอ็นบีระงับแผนบริการที่พักบนกำแพงเมืองจีน
ไชน่าเดลี รายงานว่า แอร์บีเอ็นบี แพลตฟอร์มที่พักแบบแบ่งปันจากสหรัฐ ได้ระงับแผนที่จะให้บริการที่พักบนด่านปาต้าหลิง กำแพงเมืองจีน ในปักกิ่ง เนื่องจากกังวลว่าจะเป็นอันตรายต่อโครงสร้างโบราณสถาน แอร์บีเอ็นบี แจ้งออกมาเมื่อวันอังคารว่า จะไม่เดินหน้าต่อแผนการจัดกิจกรรมค่ำคืนบนกำแพงเมืองจีนที่วางเอาไว้ เนื่องจากเคารพในเสียงของสาธารณชน และบริษัทเองก็ไม่ต้องการที่จะดำเนินการหลุดไปจากเป้าหมายที่ต้องการเชื่อมต่อกับคน อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้หมายความว่า บริษัทจะไม่จัดงานอะไรในสถานที่อื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกันนี้ ทั้งนี้คณะกรรมาธิการด้านวัฒนธรรมในกรุงปักกิ่ง ได้ออกแถลงการณ์มาเมื่อวันจันทร์ โดยระบุว่า แผนการจัดงานของแอร์บีเอ็นบีนั้นไม่ได้มีการแจ้งให้หน่วยงานทราบและก็ยังไม่ได้รับอนุญาตใดๆ และคณะกรรมาธิการก็ไม่ได้สนับสนุนกิจกรรมนี้ เพราะมองว่า ไม่ได้ช่วยอนุรักษ์สถานที่ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม อีกทั้งเมืองก็มีกฎมาย กฎระเบียบต่างๆ ที่จะปกป้องดูแลสถานที่ทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอยู่ สำหรับกิจกรรมนี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากชาวจีนในสังคมออนไลน์ เพราะเกรงว่าจะไปสร้างความเสียหายให้กับโบราณสถาน โดยกิจกรรมนี้ถูกเปิดตัวออกมาผ่านเว็บไซต์ของแอร์บีเอ็นบี ซึ่งวางแผนนำเสนอที่พักแห่งแรกที่กำแพงเมืองจีนในเดือน ก.ย. บริเวณด้านบนด่านปาต้าหลิง กำแพงเมืองจีน โดยที่พักนี้จะมีห้องน้ำในตัวด้วย
หุ้นไทยบวกกว่า 11 จุด ปิดที่ 1,707.26 จุด
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดวันนี้ (7 ส.ค. 2018) อยู่ที่ 1,707.26 จุด เพิ่มขึ้น 11.02 จุด หรือ 0.65% โดยระหว่างวันดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,710.75 จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,692.01 จุด มูลค่าการซื้อขาย 49,610.03 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่ 1.CPALL ปิดที่ 73.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,922.31 ลบ. 2.PTT ปิดที่ 52.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,071.87 ลบ. 3.IVL ปิดที่ 59.25 […]
รู้จักตราสารทุนแล้วหรือยัง
โดย…ศรศักดิ์ สร้อยแสงจันทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน BF Knowledge Center ปัจจุบันเราอยู่ในระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม เอกชนสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ จะทำธุรกิจก็สามารถระดมทุนได้จากญาติสนิทมิตรสหายโดยจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด ถ้าระดมทุนจากประชาชนก็อยู่ในรูปบริษัทมหาชน จึงจำเป็นต้องมีเอกสารให้ผู้ลงทุนถือเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ หรือเรียกว่าตราสารทุนนั่นเอง ผู้ถือครองเอกสารที่เรียกว่าตราสารทุนจึงมีสถานะเป็นเจ้าของกิจการ มีสิทธิในทรัพย์สินของกิจการร่วมกัน ถ้ากิจการทำธุรกิจจนมีรายได้ เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือเป็นกำไร ก็แบ่งปันกันในหมู่ผู้ถือหุ้น แต่หากบริษัทไปก่อหนี้สินก็เป็นภาระที่ต้องรับผิดชอบชดใช้หนี้ร่วมกัน นอกจากสิทธิที่ผู้ถือหุ้นได้รับจากการแบ่งปันกำไรหรือที่เรียกกันว่าเงินปันผลแล้ว ในกรณีที่บริษัทต้องการเพิ่มทุนเพื่อขยายกิจการอาจให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิมได้มีโอกาสลงทุนเพิ่มโดยซื้อหุ้นเพิ่มทุน ก่อนเปิดโอกาสให้คนทั่วไปมาลงทุนกับบริษัท ขณะเดียวกันผู้ถือหุ้นในฐานะเจ้าของมีสิทธิ ย่อมมีเสียงในการตัดสินใจกำหนดทิศทางการบริหารกิจการ ใครมีสิทธิมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ถือครอง ถ้าให้ผู้ถือหุ้นทุกคนขึ้นมานั่งบริหารงานทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือใช้สิทธิเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นและลงมติในวาระสำคัญที่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจได้ คนที่ถือหุ้นจำนวนมากก็มีสิทธิออกเสียงมาก โดยสามารถลงคะแนนเสียงให้ตัวเองเป็นกรรมการหรือผู้บริหารที่มีอำนาจจัดการบริษัท นอกจากสิทธิและผลประโยชน์ต่างๆ ผู้ถือหุ้นที่ต้องการใช้เงินหรือถอนการลงทุนสามารถขายหุ้นที่มีอยู่ให้กับผู้อื่นที่สนใจลงทุนในบริษัทแทน โดยซื้อขายเปลี่ยนมือในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามมาอีกมากมายและเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมากหลากหลายอาชีพ
ธปท.เปิดทางบริษัทลูกแบงก์เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลได้
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ออกหนังสือเวียนถึงสถาบันการเงินทุกแห่ง แจ้งแนวทางการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลของสถาบันการเงินและบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของสถาบันการเงิน โดยขอยกเลิกแนวทางเดิมตามหนังสือเวียนที่เคยขอความร่วมมือสถาบันการเงินไม่ให้ทำธุรกรรมเกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซี เปลี่ยนเป็นอนุญาตให้บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินยกเว้นสถาบันการเงินดำเนินการเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลได้ เช่น บริษัทลูกที่มีหน่วยงานกำกับดูแลเฉพาะ อาทิ บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัทประกันวินาศภัย บริษัทประกันชีวิต กรณีบริษัทอื่นในกลุ่มธุรกิจการเงินนอกเหนือจากที่กล่าวมา คือ บริษัทจัดตั้งขึ้นใหม่ และบริษัทที่ประกอบธุรกิจทางการเงินหรือธุรกิจสนับสนุนในปัจจุบัน ถ้าประสงค์ทำธุรกรรมหรือประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ให้บริษัทแม่ของกลุ่มธุรกิจทางการเงินขออนุญาต ธปท. รายกรณี หากสถาบันการเงินหรือบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินจะทำธุรกรรมหรือประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงสุดของสถาบันการเงินหรือของบริษัท สำหรับสถาบันการเงิน ระยะแรกต้องไม่เป็นผู้ออกโทเคนดิจิทัล หรือให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล ไม่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้ชวนหรือแนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าที่ไม่ใช่ผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ และผู้ลงทุนรายใหญ่ หากจะออกหรือลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อพัฒนานวัตกรรมการเงินให้เข้าทดสอบใน Regulatory Sandbox และหากธปท. กำหนดมาตรฐานการกำกับดูแลความเสี่ยงและการดูแลผู้ใช้บริการสำหรับการใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลแล้ว ให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามมาตรฐานดังกล่าวไม่ต้องเข้าทดสอบใน Regulatory Sandbox ทั้งนี้ ธปท. จะกำหนดหลักเกณฑ์ประกอบธุรกิจหรือการดูแลความเสี่ยงของสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมต่อไป เช่น หลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนของสถาบันการเงินและกลุ่มธุรกิจทางการเงิน สำหรับรายละเอียดประกาศติดตามได้ที่ https://www.bot.or.th/Thai/FIPCS/Documents/FPG/2561/ThaiPDF/25610186.pdf
เจพีมอร์แกน แนะ `ซื้อ` หุ้นตลาดเกิดใหม่ ที่ครึ่งปีแรกโดนเทขายจากประเด็นสงครามการค้า
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เจพีมอร์แกน แนะนำนักลงทุน ‘ซื้อ’ หุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดเกิดใหม่ที่ราคาหุ้นลดลงมาในช่วงครึ่งปีแรกปีนี้จากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังคาดว่า ความตึงเครียดทางการค้าจะผ่อนคลายลงในช่วงเลือกตั้งกลางเทอมที่จะมีขึ้นในสหรัฐฯเดือนพฤศจิกายนนี้ ราคาหุ้นในตลาดเกิดใหม่อยู่ในระดับที่น่าลงทุน หลังสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆในตลาดเกิดใหม่ร่วงลงเกือบ 8% ในปี2018 จากปัจจัยทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่ปรับขึ้น ความกังวลประเด็นสงครามการค้ากดดัน โดยเจพีมอร์แกนระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดเกิดใหม่อยู่ในระดับที่ถูก และกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาดเกิดใหม่ยังขยายตัวในเกณฑ์ดี และปัจจัยทางเทคนิคบ่งชี้ว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ตามหลังตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างมาก ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศจะลดลงในไตรมาสสี่ แต่ในเดือนสิงหาคมนี้ ความผันผวนอาจยังคงเกิดขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯและจีนยังแสดงท่าทีที่จะตอบโต้ทางการค้าระหว่างกัน คำแนะนำนักลงทุนเลือกลงทุนหุ้นในตลาดเกิดใหม่เป็นรายตัว เนื่องจากความเชื่อมั่นที่ว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯจะลดลงในขณะนี้ยังคงมีอยู่ต่ำ โดยขณะนี้คะแนนนิยมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงอยู่ในระดับที่สูง และประธานาธิบดีทรัมป์ยังเชื่อมั่นว่า สิ่งที่กำลังดำเนินการกับจีนเป็นผลดีต่อประเทศชาติ
อดีต รมว. คลัง มองสงครามการค้า จะทำให้สหรัฐฯจนลง
Lawrence Summers อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ให้สำภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ถึงประเด็นสงครามการค้าไม่ใช่แค่ส่งผลทำให้สหรัฐฯโดดเดี่ยวจากประเทศคู่ค้า แต่ที่สำคัญคือจะส่งผลให้สหรัฐฯจนลง เนื่องจากประชาชนจะต้องจ่ายเงินซื้อสิงค้าและบริการที่สูงขึ้นส่งผลต่อค่าครองชีพของประชาชนให้ปรับสูงขึ้น Summers กล่าวว่า แม้ยังคงมีมุมมองที่ดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามการค้าทำให้กังวลจะเป็นปัจจัยที่ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจหยุดชะงัก เนื่องจากสงครามการค้าจะทำให้ระบบห่วงโซ่อุปทานพังทะลายลง และจะทำให้ต้นทุนการผลิตของสหรัฐฯ ซึ่งพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ประเทศกำลังพัฒนาจำเป็นจะต้องปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต โดยต้องปรับปรุงการผลิต และต้องพัฒนาสู่การเป็นผู้ผลิตสินค้าแทนที่การเป็นผู้รับจ้างผลิตอย่างที่ผ่านมา