Kevin Aluwi ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Gojek ยักษ์ใหญ่ด้านบริการเรียกรถสัญชาติอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ GoTo Group ที่เพิ่งควบรวมกิจการ ได้ให้สัมภาษณ์กับ CNBC Make ว่า ผมคิดว่าเรากำลังจะเข้าสู่ยุคทองของบริษัทเทคโนโลยีในอินโดนีเซียและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เขา กล่าวว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมากที่กระตือรือร้นที่จะเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ แค่เฉพาะอินโดนีเซียเพียงประเทศเดียวก็มีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลก ด้วยอายุเฉลี่ยเพียง 29.7 ปี ยิ่งไปกว่านั้น ภูมิภาคนี้ประเทศส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นของการพัฒนา จึงมีโอกาสมากมายสำหรับสตาร์ทอัพในการสร้างโซลูชันในการใช้ชีวิตให้กับสังคม สิ่งที่พิเศษและยอดเยี่ยมจริงๆ เกี่ยวกับอินโดนีเซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความสอดคล้องกันอย่างลึกซึ้งระหว่างอะไรคือสิ่งที่ดีต่อธุรกิจ และเป็นสิ่งที่ดีต่อสังคม เขา กล่าวว่า สิ่งที่เราเห็นในประเทศกำลังพัฒนาคือมีโอกาสที่จะเติบโตก้าวกระโดด เนื่องจากยังไม่มีผลิตภัณฑ์ บริการและพฤติกรรมที่เป็นที่ยอมรับจนฝังรากลึกเหมือนในระบบเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว ทำให้โอกาสที่ผู้ใช้จะกระโดดไปสู่เทคโนโลยีที่ดีขึ้นและใหม่กว่าได้โดยตรง Aluwi กล่าวว่า กลุ่มบริษัทของเขามีส่วนสนับสนุน 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ของอินโดนีเซียผ่านผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคเรียกใช้ตามความต้องการ (ออนดีมานด์) อี-คอมเมิร์ซ และบริการทางการเงิน

New Straits Times รายงานว่า รัฐบาลมาเลเซียตั้งเป้าหมายเร่งการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ไปถึง 400,000 โดสต่อวัน ให้ได้ภายในเดือน ส.ค. เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ 80% ของประชากรภายในเดือน ก.ย. นี้ Khairy Jamaluddi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ประสานงานโครงการสร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 แห่งชาติ หรือ NIP ของมาเลเซีย กล่าวว่า รัฐบาลมีเป้าหมายจะเร่งการฉีดวัคซีนให้ได้สูงสุด 300,000 โดสต่อวันในเดือน ก.ค. นี้ “เดิมทีเรามีเป้าหมายฉีดวัคซีน 200,000 โดสต่อวันในเดือน ก.ค. แต่เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมา เราก็ไปถึงเป้าหมายนั้นแล้ว และประสบความสำเร็จในการบริหารวัคซีนมากกว่า 200,000 โดส เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน ดังนั้นในตอนนี้เราจึงตั้งเป้าหมายการฉีดวัคซีนในเดือน ก.ค. เป็น 300,000 […]

เว็บไซต์ของสภาเศรษฐกิจโลก (weforum.org) รายงานว่า มีคนประมาณ 4,600 ล้านคนทั่วโลกที่ใช้อินเทอร์เน็ตทุกวัน และพบว่ามีการทวีตข้อความ 350,000 ครั้งในทุกนาที ซึ่งการใช้อินเทอร์เน็ตแต่ละครั้งทำให้เซิร์ฟเวอร์ต้องทำงานหนักในการเก็บข้อมูลที่มีมหาศาล ส่งผลให้เกิดการปล่อยมลพิษตามมา ขณะที่ทุกวันนี้ มีอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลกกว่า 30,000 ล้านชิ้น ครอบคลุมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล สมาร์ทโฟน โทรทัศน์ แท็บเล็ต บ้านอัจฉริยะ ยานพาหนะอัจฉริยะ และนาฬิกาอัจฉริยะ เป็นต้น ทั้งนี้แม้จะมีเทคโนโลยีเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีส่วนสำคัญในการใช้พลังงานสะอาด เช่น มาตรวัดอัจฉริยะในบ้านช่วยตรวจสอบและลดการใช้พลังงานในครัวเรือนได้ แต่การจัดเก็บข้อมูลในอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้ใช้พลังงานเพิ่มเช่นกัน มีงานวิจัยคาดการณ์ว่า ในปี 2025 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) อาจมีส่วนใช้พลังงานถึง 20% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้ และอาจปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึง 5.5% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนในโลก ซึ่งมากกว่าเมื่อนำการปล่อยมลภาวะทั้งหมดของ จีน อินเดีย และสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุดรวมกัน โดยการเติบโตของการใช้พลังงานกลุ่มไอทีมาจากศูนย์ข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดเก็บข้อมูลและคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ ที่ส่วนใหญ่มักต่อสายตรงกับโครงข่ายไฟฟ้าท้องถิ่น หมายความว่า ส่วนใหญ่ใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้าที่ไม่หมุนเวียน ประมาณ 50% […]